✍️ปรากฏการณ์มนุษย์กลายเป็นปีศาจ
ปรากฏการณ์ดังกล่าวประกอบด้วยลักษณะสำคัญร่วมกัน 10 ประการ
ที่ทำให้เปลี่ยนด้านสว่างของมนุษย์ที่ถือว่าเป็นสัตว์ประเสริฐและสมองถูกวิวัฒน์ จนกระทั่งคิดว่าปกครองพัฒนาชีวิต การเป็นอยู่สิ่งแวดล้อมให้ดีที่สุด เพื่อเอื้อประโยชน์ให้มนุษย์ด้วยกัน
กลายเป็นด้านมืดที่สุด ที่กระทำทุกอย่างได้โดยไม่กระพริบตา ทั้งนี้รวมถึงการฆ่าฟัน การนำพาสิ่งอันตรายต่างๆ มาให้คน โดยจุดประสงค์แฝงเพื่อประโยชน์มหาศาลรวมทั้งการเกื้อกูลพวกเดียวกันโดย ให้อำนาจ เงิน อามิส สินจ้าง ทั้งนี้ล้างสมองตัวเองก่อนและล้างสมองแพร่ออก
เป็นกลุ่มก้อน
ปรากฏการณ์เกิดปีศาจร้าย ได้มีการรวบรวมและสรุปจากหมอผ่าตัดสมอง Itzhak Fried จาก University of California, Los Angeles ในปี 1997 โดยเรียกว่า Syndrome E และ E มาจาก Evil
กลุ่มอาการทั้ง 10 ประกอบด้วยการแสดงออกซึ่งอธิบายได้ทางกลไกประสาทวิทยาศาสตร์ที่ส่งผลทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม
“การประพฤติบ่อย“ นำไปสู่ “ความอยากทำอีก” โดยเริ่มมีการชำระล้างความชั่วที่ทำ ให้กลายเป็นสิ่งที่ดี
“ การทำซ้ำๆที่ควบคุมไม่ได้” โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีผลกระทบต่อ อารมณ์และจิตใจ และความประพฤติปฏิบัติ ต่อมา แม้ว่าจะเกิดความเสียหายแม้กระทั่งต่อตนเองก็ตาม
“ ไร้อารมณ์ความรู้สึก“ เมื่อกระทำชั่ว
” ความเร้าใจ” เมื่อกระทำได้สำเร็จ ตัวอย่าง ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ ยิ่งตายมาก พิการ ทรมานมาก เท่าไหร่ ยิ่งเร้าใจมาก
“ ยังดูเหมือนเป็นมนุษย์ปกติ” สมองยังคงทำงานได้ ความจำ การสื่อสาร ความสามารถในการแก้ปัญหา และอื่นๆ
“ เกิดการเสพติด” เฉยชา ในความเลวร้าย ที่ตนตนเองทำ
“ แบ่งส่วนกับครอบครัวตนเองได้” มีชีวิตสุขสบายปกติกับครอบครัวตนเอง ไม่มีใครสำเหนียก
“ ถูกกระตุ้นได้ง่าย“ เมื่อมีเหตุการณ์ที่มีโอกาศทำ จะรีบนำพาไปสู่ความคิดและการกระทำที่ชั่วร้าย
“ แพร่เชื้อเหมือนโรคระบาด” มนุษย์ที่กลายเป็นปีศาจมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเปลี่ยนผู้อื่นให้กลายเป็นพวกเดียวกันในความคิดและการปฏิบัติเหมือนกัน
มนุษย์กลายเป็นปีศาจนั้นไม่ใช่ลักษณะเดียวกับ กลุ่มที่ มีจิตและความประพฤติผิดปกติต่อต้านสังคมตั้งแต่ต้น เปรียบเสมือนทหารนาซีที่ สามารถฆ่าได้เป็นล้าน และในปัจจุบันอิสราเอลที่ฆ่าได้เป็นหมื่นเป็นแสน โดยประกาศตั้งเป้าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เช่นเดียวกับที่เกิดในแอฟริกา
ปรากฏการณ์ E ตั้งแต่ปี 1997 ทำให้มีการประชุมกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ทางด้านสมอง นักจิตวิทยาทางสังคม จิตแพทย์ กลุ่มต่อต้านผู้ก่อการร้าย นักเชี่ยวชาญสรีระวิทยาทางสมอง จนกระทั่งถึงกลุ่มทางกฎหมาย โดยมีการประชุมที่ปารีสสามครั้งระหว่าง 2015 ถึง 2017
แกนกลางปัจจัยของปรากฏการณ์ E คือ ความเฉยชาไร้อารมณ์ ก่อน รวมทั้งในช่วงวางแผน จน ขณะก่อ ความชั่วร้าย และ แม้กระทั่งหลังจากนั้น แม้ถึงกับทำให้คร่าชีวิตคนด้วยกัน แต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวด รู้ร้อนรู้หนาว แต่กับครอบครัวยังเป็นปกติ
เมื่อเป็นการล้างสมองอย่างสมบูรณ์แบบ ไร้ความเห็นใจ ไม่มีความเข้าอกเข้าใจ แต่สามารถแสร้งทำปกติได้อย่างแนบเนียน ตามสถานการณ์ได้อย่างนุ่มนวล
ในขณะเดียวกันมีความรู้สึกเหมือนถูกบีบบังคับเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ตนเองรู้สึกว่า “น่าทำ”
ความเข้าอกเข้าใจนั้นเป็นลักษณะสำคัญในการเติบโตของมนุษย์แต่ละคนที่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นโดยเกิดขึ้นในช่วงห้าขวบปีแรก และทำให้ตระหนักว่าการกระทำของตนเองนั้นเป็นสิ่งที่รับรู้จากคนอื่นด้วย ดังนั้น เป็นการสร้างความตระหนักที่ให้เรียนรู้ในสังคม แต่ทำให้มีการแบ่งแยกโดยการสร้างกลุ่มของตนเองและบูลลี่คนเคราะห์ร้าย
และกลุ่มอาจสร้างค่านิยมให้แบ่งชนชั้น (selective empathy) ดูถูกคนไร้บ้าน คนข้างถนน คนที่ด้อยกว่า ในที่ทำงาน ในธุรกิจ เป็นการกัดกร่อน ความเข้าอกเข้าใจคนด้วยกัน (empathy erosion) และในที่สุดจุดประกายกำเนิดความโหดร้าย และเป็นด้านมืดของสังคม ที่เพาะบ่ม เหมือนกับการตีสองหน้า ช่วยพวกเดียวกันเอง ถีบหัวไสส่ง มนุษย์ที่ไม่ใช่พวกตัวเอง หรือด้อยกว่า
การปรับเปลี่ยนจนเกิดความเป็นปึกแผ่นของกลุ่มและสังคม อาจมีประโยชน์ในการป้องกันศัตรูที่เข้ามารุกราน
แต่แล้วที่เห็นในปัจจุบันคือการตีความ “ศัตรู” ให้อยู่ร่วมกันไม่ได้ประนีประนอมไม่ได้ใช้ประโยชน์พื้นแผ่นดินทรัพยากรรวมกันไม่ได้ และต้องหายไปจากพื้นโลกนี้
วงจรสมองที่ประกอบขึ้นมาในการเป็นอารมณ์และความเข้าอกเข้าใจกันนั้น มีความซับซ้อนและประกอบด้วยสมองส่วน vmPFC หรือ ventromedial Prefrontal cortex OFC หรือ orbito Frontal cortex และ ส่วน ของ amygdala ในระบบ limbic
ปรากฏการณ์ เฉยชาต่อความเข้าอกเข้าใจ จะมีการกระตุ้นผิดปกติของบริเวณสมองส่วนหน้าซึ่งจะยับยั้ง สมองส่วน amygdala และอธิบายได้จนกระทั่งถึงความคิดและการกระทำที่ออกมาเป็นย้ำคิดย้ำทำและอยากฆ่าทำร้าย ยาเสพติด cocaine ก่อให้เกิดลักษณะเช่นนี้ได้
ปรากฏการณ์ดังกล่าวประกอบด้วยลักษณะสำคัญร่วมกัน 10 ประการ
ที่ทำให้เปลี่ยนด้านสว่างของมนุษย์ที่ถือว่าเป็นสัตว์ประเสริฐและสมองถูกวิวัฒน์ จนกระทั่งคิดว่าปกครองพัฒนาชีวิต การเป็นอยู่สิ่งแวดล้อมให้ดีที่สุด เพื่อเอื้อประโยชน์ให้มนุษย์ด้วยกัน
กลายเป็นด้านมืดที่สุด ที่กระทำทุกอย่างได้โดยไม่กระพริบตา ทั้งนี้รวมถึงการฆ่าฟัน การนำพาสิ่งอันตรายต่างๆ มาให้คน โดยจุดประสงค์แฝงเพื่อประโยชน์มหาศาลรวมทั้งการเกื้อกูลพวกเดียวกันโดย ให้อำนาจ เงิน อามิส สินจ้าง ทั้งนี้ล้างสมองตัวเองก่อนและล้างสมองแพร่ออก
เป็นกลุ่มก้อน
ปรากฏการณ์เกิดปีศาจร้าย ได้มีการรวบรวมและสรุปจากหมอผ่าตัดสมอง Itzhak Fried จาก University of California, Los Angeles ในปี 1997 โดยเรียกว่า Syndrome E และ E มาจาก Evil
กลุ่มอาการทั้ง 10 ประกอบด้วยการแสดงออกซึ่งอธิบายได้ทางกลไกประสาทวิทยาศาสตร์ที่ส่งผลทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม
“การประพฤติบ่อย“ นำไปสู่ “ความอยากทำอีก” โดยเริ่มมีการชำระล้างความชั่วที่ทำ ให้กลายเป็นสิ่งที่ดี
“ การทำซ้ำๆที่ควบคุมไม่ได้” โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีผลกระทบต่อ อารมณ์และจิตใจ และความประพฤติปฏิบัติ ต่อมา แม้ว่าจะเกิดความเสียหายแม้กระทั่งต่อตนเองก็ตาม
“ ไร้อารมณ์ความรู้สึก“ เมื่อกระทำชั่ว
” ความเร้าใจ” เมื่อกระทำได้สำเร็จ ตัวอย่าง ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ ยิ่งตายมาก พิการ ทรมานมาก เท่าไหร่ ยิ่งเร้าใจมาก
“ ยังดูเหมือนเป็นมนุษย์ปกติ” สมองยังคงทำงานได้ ความจำ การสื่อสาร ความสามารถในการแก้ปัญหา และอื่นๆ
“ เกิดการเสพติด” เฉยชา ในความเลวร้าย ที่ตนตนเองทำ
“ แบ่งส่วนกับครอบครัวตนเองได้” มีชีวิตสุขสบายปกติกับครอบครัวตนเอง ไม่มีใครสำเหนียก
“ ถูกกระตุ้นได้ง่าย“ เมื่อมีเหตุการณ์ที่มีโอกาศทำ จะรีบนำพาไปสู่ความคิดและการกระทำที่ชั่วร้าย
“ แพร่เชื้อเหมือนโรคระบาด” มนุษย์ที่กลายเป็นปีศาจมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเปลี่ยนผู้อื่นให้กลายเป็นพวกเดียวกันในความคิดและการปฏิบัติเหมือนกัน
มนุษย์กลายเป็นปีศาจนั้นไม่ใช่ลักษณะเดียวกับ กลุ่มที่ มีจิตและความประพฤติผิดปกติต่อต้านสังคมตั้งแต่ต้น เปรียบเสมือนทหารนาซีที่ สามารถฆ่าได้เป็นล้าน และในปัจจุบันอิสราเอลที่ฆ่าได้เป็นหมื่นเป็นแสน โดยประกาศตั้งเป้าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เช่นเดียวกับที่เกิดในแอฟริกา
ปรากฏการณ์ E ตั้งแต่ปี 1997 ทำให้มีการประชุมกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ทางด้านสมอง นักจิตวิทยาทางสังคม จิตแพทย์ กลุ่มต่อต้านผู้ก่อการร้าย นักเชี่ยวชาญสรีระวิทยาทางสมอง จนกระทั่งถึงกลุ่มทางกฎหมาย โดยมีการประชุมที่ปารีสสามครั้งระหว่าง 2015 ถึง 2017
แกนกลางปัจจัยของปรากฏการณ์ E คือ ความเฉยชาไร้อารมณ์ ก่อน รวมทั้งในช่วงวางแผน จน ขณะก่อ ความชั่วร้าย และ แม้กระทั่งหลังจากนั้น แม้ถึงกับทำให้คร่าชีวิตคนด้วยกัน แต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวด รู้ร้อนรู้หนาว แต่กับครอบครัวยังเป็นปกติ
เมื่อเป็นการล้างสมองอย่างสมบูรณ์แบบ ไร้ความเห็นใจ ไม่มีความเข้าอกเข้าใจ แต่สามารถแสร้งทำปกติได้อย่างแนบเนียน ตามสถานการณ์ได้อย่างนุ่มนวล
ในขณะเดียวกันมีความรู้สึกเหมือนถูกบีบบังคับเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ตนเองรู้สึกว่า “น่าทำ”
ความเข้าอกเข้าใจนั้นเป็นลักษณะสำคัญในการเติบโตของมนุษย์แต่ละคนที่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นโดยเกิดขึ้นในช่วงห้าขวบปีแรก และทำให้ตระหนักว่าการกระทำของตนเองนั้นเป็นสิ่งที่รับรู้จากคนอื่นด้วย ดังนั้น เป็นการสร้างความตระหนักที่ให้เรียนรู้ในสังคม แต่ทำให้มีการแบ่งแยกโดยการสร้างกลุ่มของตนเองและบูลลี่คนเคราะห์ร้าย
และกลุ่มอาจสร้างค่านิยมให้แบ่งชนชั้น (selective empathy) ดูถูกคนไร้บ้าน คนข้างถนน คนที่ด้อยกว่า ในที่ทำงาน ในธุรกิจ เป็นการกัดกร่อน ความเข้าอกเข้าใจคนด้วยกัน (empathy erosion) และในที่สุดจุดประกายกำเนิดความโหดร้าย และเป็นด้านมืดของสังคม ที่เพาะบ่ม เหมือนกับการตีสองหน้า ช่วยพวกเดียวกันเอง ถีบหัวไสส่ง มนุษย์ที่ไม่ใช่พวกตัวเอง หรือด้อยกว่า
การปรับเปลี่ยนจนเกิดความเป็นปึกแผ่นของกลุ่มและสังคม อาจมีประโยชน์ในการป้องกันศัตรูที่เข้ามารุกราน
แต่แล้วที่เห็นในปัจจุบันคือการตีความ “ศัตรู” ให้อยู่ร่วมกันไม่ได้ประนีประนอมไม่ได้ใช้ประโยชน์พื้นแผ่นดินทรัพยากรรวมกันไม่ได้ และต้องหายไปจากพื้นโลกนี้
วงจรสมองที่ประกอบขึ้นมาในการเป็นอารมณ์และความเข้าอกเข้าใจกันนั้น มีความซับซ้อนและประกอบด้วยสมองส่วน vmPFC หรือ ventromedial Prefrontal cortex OFC หรือ orbito Frontal cortex และ ส่วน ของ amygdala ในระบบ limbic
ปรากฏการณ์ เฉยชาต่อความเข้าอกเข้าใจ จะมีการกระตุ้นผิดปกติของบริเวณสมองส่วนหน้าซึ่งจะยับยั้ง สมองส่วน amygdala และอธิบายได้จนกระทั่งถึงความคิดและการกระทำที่ออกมาเป็นย้ำคิดย้ำทำและอยากฆ่าทำร้าย ยาเสพติด cocaine ก่อให้เกิดลักษณะเช่นนี้ได้
แต่ถึงแม้จะรู้ระบบวงจรเหล่านี้มานานแล้วก็ตามแต่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างสมบูรณ์ถึงปรากฏการณ์ E ซึ่งทำให้มนุษย์กลายเป็นปีศาจได้อย่างหมดจด เพราะมนุษย์ปีศาจนั้นแยกตัวเองจากความรู้สึก จนเป็นความแตกหักของสมองและปัญญาอันประเสริฐ (cognitive fracture) ไม่เคยมีความรู้สึกผิดหรือเสียใจใดๆทั้งสิ้น และเกิดได้ทุกเชื้อชาติภาษา เช่นเขมรแดงทรมานและฆ่าทิ้ง
ความเฉียบคมของสมองของมนุษย์ปีศาจเหล่านี้ยังคงอยู่ สรรหาวิธีการทรมานที่ทำให้เจ็บปวดที่สุด หาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ที่ทำให้เกิดการสังหารหมู่เป็นกลุ่มก้อน
แม้กระทั่งมีการใช้ยา บ้า amphetamine ในกลุ่ม ISIS โดยทำให้มีการทำงานของระบบโดปามีน แปรปรวน ลดการทำงานของ serotonin ใน OFC นำไปสู่ พฤติกรรมต่อต้านสังคมฆ่าได้อย่างเฉยชา มีความก้าวร้าวและทำเป็นสันดาน ซึ่งเป็นการก่อการร้ายโดยใช้ยาเสพติดร่วมด้วย (pharmaco-terrorism)
การกระทำชั่วร้ายของมนุษย์ปีศาจเหล่านี้ก่อให้เกิดอารมณ์ ปิติ ปลาบปลื้ม มีความสุขเป็นรางวัลให้ตัวเอง และต้องทำชั่วไปเพื่อความสุขของตนเอง แม้กระทั่งมีความอิ่มเอมเมื่อเห็นเหยื่อร้องขอชีวิต
ในขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า ปรากฏการณ์ปีศาจนี้ มนุษย์ที่กลายเป็นปีศาจไปแล้วนั้น จะมีความกระหายอย่างแรงกล้าที่จะทำให้คนรอบข้างเห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำนั้น และกลายเป็นปีศาจด้วยกัน และปีศาจตัวหัวหน้าใหญ่ แม้เมื่อตายไปแล้วก็จะมีปีศาจตัวอื่นๆทยอยขึ้นมาแตกกิ่งก้านสาขาไปทั่ว
ถึงตรงนี้ เราทุกคนต้องถามตัวเองว่า เราใช้ด้านมืด จนกลายเป็นปีศาจไปแล้วหรือไม่?
รวบรวม เรียบเรียงจากบทความใน aeon ของ Naga Arikha associate fellow ของ Warburg Institute (London) และ honorary fellow of the Center for the Politics of Feelings, and a research associate at the Institut Jean Nicod of the Ecole Normale Supérieure (Paris) 30 กรกฎาคม 2018
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ประธาน
ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
และ
ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
มหาวิทยาลัยรังสิต
https://www.facebook.com/share/p/1V4uFyCFRD/
ความเฉียบคมของสมองของมนุษย์ปีศาจเหล่านี้ยังคงอยู่ สรรหาวิธีการทรมานที่ทำให้เจ็บปวดที่สุด หาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ที่ทำให้เกิดการสังหารหมู่เป็นกลุ่มก้อน
แม้กระทั่งมีการใช้ยา บ้า amphetamine ในกลุ่ม ISIS โดยทำให้มีการทำงานของระบบโดปามีน แปรปรวน ลดการทำงานของ serotonin ใน OFC นำไปสู่ พฤติกรรมต่อต้านสังคมฆ่าได้อย่างเฉยชา มีความก้าวร้าวและทำเป็นสันดาน ซึ่งเป็นการก่อการร้ายโดยใช้ยาเสพติดร่วมด้วย (pharmaco-terrorism)
การกระทำชั่วร้ายของมนุษย์ปีศาจเหล่านี้ก่อให้เกิดอารมณ์ ปิติ ปลาบปลื้ม มีความสุขเป็นรางวัลให้ตัวเอง และต้องทำชั่วไปเพื่อความสุขของตนเอง แม้กระทั่งมีความอิ่มเอมเมื่อเห็นเหยื่อร้องขอชีวิต
ในขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า ปรากฏการณ์ปีศาจนี้ มนุษย์ที่กลายเป็นปีศาจไปแล้วนั้น จะมีความกระหายอย่างแรงกล้าที่จะทำให้คนรอบข้างเห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำนั้น และกลายเป็นปีศาจด้วยกัน และปีศาจตัวหัวหน้าใหญ่ แม้เมื่อตายไปแล้วก็จะมีปีศาจตัวอื่นๆทยอยขึ้นมาแตกกิ่งก้านสาขาไปทั่ว
ถึงตรงนี้ เราทุกคนต้องถามตัวเองว่า เราใช้ด้านมืด จนกลายเป็นปีศาจไปแล้วหรือไม่?
รวบรวม เรียบเรียงจากบทความใน aeon ของ Naga Arikha associate fellow ของ Warburg Institute (London) และ honorary fellow of the Center for the Politics of Feelings, and a research associate at the Institut Jean Nicod of the Ecole Normale Supérieure (Paris) 30 กรกฎาคม 2018
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ประธาน
ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
และ
ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
มหาวิทยาลัยรังสิต
https://www.facebook.com/share/p/1V4uFyCFRD/
Facebook
Log in or sign up to view
See posts, photos and more on Facebook.
✍️หัวใจอักเสบคุกรุ่น “แม้ไม่มีอาการ”หลังฉีด”
สาเหตุตายกระทันหัน ถูกปฏิเสธมาตลอดว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน
ปรากฏการณ์ตายกระทันหัน เกิดขึ้นได้ทุกอายุ ทุกเพศ หลังฉีด และจากการพิสูจน์ศพ พบมีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเป็นหย่อมๆ และอาจทำให้ เชื่อมโยงกับการที่มีการขัดขวางไฟฟ้าของหัวใจ ทำให้หัวใจหยุดเต้น
นอกจากนั้นยังมีการศึกษาที่พบว่า หัวใจยังคงแสดงลักษณะอักเสบมีแผลเป็นอยู่หลัง จากฉีดวัคซีน mRNA นานกว่า 12 เดือน ด้วยซ้ำ ทั้งที่ตั้งแต่แรกฉีด จะมีอาการหรือไม่มีอาการ หรือบางรายมีผลแต่เลือดผิดปกติอยู่บ้าง จากรายงานของออสเตรเลียและแคนาดา
และประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะเวลาที่เราประเมินจะดูแต่เฉพาะที่มีอาการชัดเจนเท่านั้น และเมื่อดูอาการหายเป็นปกติแล้ว ก็จะสบายใจเพียงแต่แนะนำให้ไม่ออกกำลังรุนแรง แต่เมื่อวัคซีนฝังตัวเข้าไปในกล้ามเนื้อหัวใจแล้ว จะบังคับให้มีการสร้างโปรตีนหนามขึ้นมา สะสมอย่างต่อเนื่อง และเกิดการอักเสบของหัวใจเป็นหย่อมๆ และทำให้หัวใจเต้นผิดปกติและตายกระทันหัน
โดยที่รายงานก่อนหน้านี้จากคณะแพทย์ทางพยา-ธิวิทยา (pathology) ของเยอรมนี จากการตรวจสอบของคนที่ตายกระทันหัน
รายงานที่สำคัญมาก ในวารสาร Radiology วันที่ 19 กันยายน 2023 จากคณะทำงานของโรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัย ของญี่ปุ่น Keio University School of Medicine และ Fukushima Medical University และ Icahn School of Medicine at Mount Sinai, New York และ University of Oxford Radcliffe Hospital, Oxford และ McGovern Medical School, Houston เป็นการตรวจ ร่างกายทั้งหมด ด้วยเหตุผลอื่น ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาการผิดปกติทางหัวใจ
ทั้งนี้ การตรวจดังกล่าว รวม หัวใจ และต่อมน้ำเหลืองไปด้วย โดยใช้ 18F-FDG PET/CT ทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ในช่วงเวลาก่อนที่จะมีวัคซีน ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2020 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2021และ หลังจากที่มีการใช้วัคซีนแล้ว ทั้งนี้จำแนกเพศ อายุ ทั้งน้อยกว่า 40 ปี ระหว่าง 40 ถึง 60 และที่สูงกว่า 60 ปี
จำนวนคนที่ได้รับวัคซีน มีทั้งหมด 303 ราย อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 52.9 ปี ± 14.9 เป็นสตรี 157 และ 700 ราย ได้รับวัคซีนโดยมีอายุเฉลี่ย 56.8 ปี ± 13.7 สตรี 344 ราย
กลุ่มที่ได้รับวัคซีนทั้งหมด พบว่ามีลักษณะการแสดงถึง ความผิดปกติชัดเจน มีการสะสมของ สารติดตาม สูงขึ้นอย่างมีค่าสำคัญทางนัยยะสถิติ ของกล้ามเนื้อหัวใจ ทั้งสองเพศ และทุกอายุ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้วัคซีนทั้งนี้เป็นตลอดในระยะระยะเวลาการติดตาม ในช่วง 1–30, 31–60, 61–120, และ 121–180 วัน หลังจากที่ได้รับวัคซีนเข็มสอง
และยังพบว่ามีความผิดปกติของต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างที่ฉีดวัคซีนในทุกช่วงระยะเวลาที่ติดตาม ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนสองเข็ม
ผลของการศึกษานี้เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่ามีหัวใจอักเสบหลังจากที่ได้รับวัคซีนโควิดและทั้งหมดที่มีความผิดปกตินี้ ไม่มีอาการทางหัวใจใดๆ ทั้งสิ้น และภาวะอักเสบของหัวใจดังกล่าวยังทอดยาวไปถึงหกเดือนของการติดตาม
ทั้งหมดนี้อาจมีความเป็นไปได้ ที่อธิบายตายกะทันหัน แม้ในคนที่สุขภาพดี อายุน้อย ไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า การตายไม่สามารถอธิบายจากเส้นเลือดหัวใจตัน และเกิดจากหัวใจเต้นผิดปกติจนกระทั่งหยุดเต้น
มีความจำเป็นที่ต้องปรับปรุงวัคซีน และต้องติดตามหลังจากใช้ เมื่อเกิดความผิดปกติ มักจะได้รับการปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกันและนำไปสู่การใช้เทคโนโลยีนี้ในการประดิษฐ์วัคซีนทุกชนิดต่อเชื้อโรค ทั้งมนุษย์และในสัตว์ โดยที่อ้างว่าวัคซีนมีการใช้ทั้งโลกแล้วดังนั้นจึงสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้กับวัคซีนอื่นได้ทันทีทันใด
https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2819643
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
และ
ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
มหาวิทยาลัยรังสิต
https://www.facebook.com/share/p/1EQQSbvnQz/
สาเหตุตายกระทันหัน ถูกปฏิเสธมาตลอดว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน
ปรากฏการณ์ตายกระทันหัน เกิดขึ้นได้ทุกอายุ ทุกเพศ หลังฉีด และจากการพิสูจน์ศพ พบมีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเป็นหย่อมๆ และอาจทำให้ เชื่อมโยงกับการที่มีการขัดขวางไฟฟ้าของหัวใจ ทำให้หัวใจหยุดเต้น
นอกจากนั้นยังมีการศึกษาที่พบว่า หัวใจยังคงแสดงลักษณะอักเสบมีแผลเป็นอยู่หลัง จากฉีดวัคซีน mRNA นานกว่า 12 เดือน ด้วยซ้ำ ทั้งที่ตั้งแต่แรกฉีด จะมีอาการหรือไม่มีอาการ หรือบางรายมีผลแต่เลือดผิดปกติอยู่บ้าง จากรายงานของออสเตรเลียและแคนาดา
และประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะเวลาที่เราประเมินจะดูแต่เฉพาะที่มีอาการชัดเจนเท่านั้น และเมื่อดูอาการหายเป็นปกติแล้ว ก็จะสบายใจเพียงแต่แนะนำให้ไม่ออกกำลังรุนแรง แต่เมื่อวัคซีนฝังตัวเข้าไปในกล้ามเนื้อหัวใจแล้ว จะบังคับให้มีการสร้างโปรตีนหนามขึ้นมา สะสมอย่างต่อเนื่อง และเกิดการอักเสบของหัวใจเป็นหย่อมๆ และทำให้หัวใจเต้นผิดปกติและตายกระทันหัน
โดยที่รายงานก่อนหน้านี้จากคณะแพทย์ทางพยา-ธิวิทยา (pathology) ของเยอรมนี จากการตรวจสอบของคนที่ตายกระทันหัน
รายงานที่สำคัญมาก ในวารสาร Radiology วันที่ 19 กันยายน 2023 จากคณะทำงานของโรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัย ของญี่ปุ่น Keio University School of Medicine และ Fukushima Medical University และ Icahn School of Medicine at Mount Sinai, New York และ University of Oxford Radcliffe Hospital, Oxford และ McGovern Medical School, Houston เป็นการตรวจ ร่างกายทั้งหมด ด้วยเหตุผลอื่น ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาการผิดปกติทางหัวใจ
ทั้งนี้ การตรวจดังกล่าว รวม หัวใจ และต่อมน้ำเหลืองไปด้วย โดยใช้ 18F-FDG PET/CT ทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ในช่วงเวลาก่อนที่จะมีวัคซีน ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2020 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2021และ หลังจากที่มีการใช้วัคซีนแล้ว ทั้งนี้จำแนกเพศ อายุ ทั้งน้อยกว่า 40 ปี ระหว่าง 40 ถึง 60 และที่สูงกว่า 60 ปี
จำนวนคนที่ได้รับวัคซีน มีทั้งหมด 303 ราย อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 52.9 ปี ± 14.9 เป็นสตรี 157 และ 700 ราย ได้รับวัคซีนโดยมีอายุเฉลี่ย 56.8 ปี ± 13.7 สตรี 344 ราย
กลุ่มที่ได้รับวัคซีนทั้งหมด พบว่ามีลักษณะการแสดงถึง ความผิดปกติชัดเจน มีการสะสมของ สารติดตาม สูงขึ้นอย่างมีค่าสำคัญทางนัยยะสถิติ ของกล้ามเนื้อหัวใจ ทั้งสองเพศ และทุกอายุ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้วัคซีนทั้งนี้เป็นตลอดในระยะระยะเวลาการติดตาม ในช่วง 1–30, 31–60, 61–120, และ 121–180 วัน หลังจากที่ได้รับวัคซีนเข็มสอง
และยังพบว่ามีความผิดปกติของต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างที่ฉีดวัคซีนในทุกช่วงระยะเวลาที่ติดตาม ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนสองเข็ม
ผลของการศึกษานี้เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่ามีหัวใจอักเสบหลังจากที่ได้รับวัคซีนโควิดและทั้งหมดที่มีความผิดปกตินี้ ไม่มีอาการทางหัวใจใดๆ ทั้งสิ้น และภาวะอักเสบของหัวใจดังกล่าวยังทอดยาวไปถึงหกเดือนของการติดตาม
ทั้งหมดนี้อาจมีความเป็นไปได้ ที่อธิบายตายกะทันหัน แม้ในคนที่สุขภาพดี อายุน้อย ไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า การตายไม่สามารถอธิบายจากเส้นเลือดหัวใจตัน และเกิดจากหัวใจเต้นผิดปกติจนกระทั่งหยุดเต้น
มีความจำเป็นที่ต้องปรับปรุงวัคซีน และต้องติดตามหลังจากใช้ เมื่อเกิดความผิดปกติ มักจะได้รับการปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกันและนำไปสู่การใช้เทคโนโลยีนี้ในการประดิษฐ์วัคซีนทุกชนิดต่อเชื้อโรค ทั้งมนุษย์และในสัตว์ โดยที่อ้างว่าวัคซีนมีการใช้ทั้งโลกแล้วดังนั้นจึงสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้กับวัคซีนอื่นได้ทันทีทันใด
https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2819643
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
และ
ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
มหาวิทยาลัยรังสิต
https://www.facebook.com/share/p/1EQQSbvnQz/
www.thairath.co.th
หัวใจอักเสบคุกรุ่น แม้ไม่มีอาการ “หลังฉีด”
✍️วิตามินรวม สมอง เสมือนดูดีแต่ไม่ชะลอจริง
โรคสมองเสื่อมนั้น ไม่ว่าจะเป็น อัลไซเมอร์ หรือชื่อยี่ห้ออื่น ต่างก็เป็นโปรตีนพิษ บิดเกลียว และทำให้การทำงานเชื่อมโยง ของสมองส่วนต่างๆ ผิดปกติ เซลล์สมองทำงานแปรปรวน จนกระทั่งตาย ทั้งนี้โดยที่เซลล์ที่มีหน้าที่เก็บทำลายขยะ กลับสร้างการอักเสบที่มากเกินควรทำให้สมองเสียหายไปอีก
อย่างไรก็ดี แม้ว่าโรคเกิดขึ้นแล้วก็ตาม โดยการตรวจคอมพิวเตอร์สมองร่วมกับเวชศาสตร์นิวเคลียร์ MRI/PET scan หรือ การตรวจโปรตีนที่ผิดปกติ จากการเจาะน้ำไขสันหลัง จนกระทั่งการตรวจในปัจจุบันซึ่งสามารถตรวจได้จากเลือด
แม้ว่าจะพบว่ามีโรคปะทุขึ้นแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อาการของโรคเหล่านี้ จะโผล่มาให้เห็นเสมอไป ยังดูเหมือนเป็นคนปกติได้
ซึ่งเราเรียกกันว่า resilience โดยที่ หมอเองชอบยกตัวอย่างว่า เวลา ผู้หญิงหรือผู้ชายก็แล้วแต่ ไปทำ
โบทอกซ์ ฟิลเล่อร์ ลบริ้วรอยทำให้หน้าตึงเต่ง เป็นการทำให้สวยและในที่สุด สภาพหน้าตาแท้จริงก็จะค่อยๆปรากฎ
โดยที่แตกต่างกับ การที่มี resistance นั่นก็คือ เกิดมามีชะตาชีวิตสุ่มเสี่ยงให้เกิด อัลไซเมอร์ โดยมียีนส์ ร้าย แถม ยังมีปัจจัยส่งเสริม ให้เกิดการอักเสบเกิดการดื้ออินซูลินในร่างกาย ทั้งอ้วนลงพุงเบาหวาน ความดัน ไขมัน แต่สมองกลับยังดี คนรอบข้างดูไม่รู้
เมื่ิอตายไป ตรวจเนื้อสมองกลับไม่พบว่ามีพยาธิสภาพของโรคสมองเสื่อม ซึ่งแนวป้องกันลักษณะเช่นนี้ เป็นที่ปรารถนาของมนุษย์โลกเพื่อว่า เผื่อว่า จะได้ปล่อยตัวปล่อยใจ กินอร่อย กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ออกกำลังกาย
แต่อนิจจา มาตรการระบบป้องกันที่ว่า ยังไม่ เป็นที่ทราบแน่นอนว่าคืออะไรทั้งนี้ อาจมีระบบละลายการอักเสบในร่างกายที่ทรงประสิทธิภาพสูงส่ง pro-resolving mediators และระบบโปรตีนบางชนิด และจะเกี่ยวเนื่องกับ”ความสุข” แค่ไหนหรือไม่ อย่างไร ยังไม่มีการพิสูจน์ชัด แม้ว่าจะมีรายงานประปรายว่า คนทั้งอ้วน ทั้งกินเหล้า นั่งเฉื่อยแฉะ แต่ห้อมล้อมด้วย เพื่อนฝูงที่จริงใจ รู้ใจ เวลาตายกลับพบว่า เส้นเลือดโปร่งโล่ง สมองไม่พบว่ามีพยาธิสภาพสมองเสื่อม
ถึงตรงนี้ อย่าพึ่งเอาไปเป็นบรรทัดฐานในการใช้ชีวิตนะครับ ถือว่าเป็นส่วนเติมเต็มของชีวิตโดยที่ต้องปฏิบัติตัวดีทางอาหารสุขภาพ การออกกำลังกาย และต้องมีความสุขในการดำเนินชีวิต ซึ่งย้ำเน้นมาตลอด นั่นก็คือการเอื้อเฟื้อช่วยชีวิต
กลับมาที่เรื่องที่ตื่นเต้นกันมาระยะหนึ่งแล้วคือ ที่มีรายงานว่าการใช้วิตามินรวมพ่วงกับโกโก้สกัด ทำให้สมองดี โดยเป็นการศึกษาชื่อ COSMOS-MIND หรือ COcoa Supplement and Multivitamin Outcomes Study for the Mind
การศึกษานี้ในระยะแรกเป็นการติดตามสามปี และพบว่า การทำงานหน้าที่ของสมอง ความจดจ่อ การรับรู้ความจำ การตัดสินใจ ในการทำงานดีขึ้น โดยที่เป็นผลจากวิตามินรวมมากกว่าที่จะได้จากโกโก้สกัด
สูตรวิตามินรวมที่ใช้ในการศึกษานี้ ได้แก่ ยี่ห้อต่างๆที่ใช้ทั่วไป เช่น Centrum silver. Pfizer consumer health care. now Haleon
และสารสกัดโกโก้ cocoa extract (Mars Edge) ประกอบไปด้วยโกโก้ Flavonols 500 มิลลิกรัมต่อวันซึ่งมี (-)-epicatechin. 80 มิลลิกรัมและ theobromine ประมาณ 50 มิลลิกรัม
ประชากรที่อยู่ในการศึกษาต่อมานี้ มีจำนวน 2,262 รายด้วยกัน ทั้งนี้ มาจากกลุ่มการศึกษาแรก ที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่เป้าประสงค์ของการศึกษานี้อยู่ที่ว่า จะสามารถ ชะลอหรือป้องกันไม่ให้สมองเสื่อมโผล่มาให้เห็นได้หรือไม่ เมื่อติดตามไปจนจบสามปี
โดยผู้ที่เข้าร่วมการศึกษานั้น จะต้องไม่มีประวัติของเส้นเลือดหัวใจตัน หรืออัมพฤกษ์ หัวใจวาย ได้รับการผ่าตัดหัวใจ หรือใส่ขดลวด ไม่มีประวัติของ มะเร็งไม่มีโรคทางสุขภาพร้าย
แรงอื่นๆและไม่เคยบริโภคโกโก้หรือวิตามินรวมมาก่อนและไม่แพ้โกโก้หรือกาแฟโดยที่มีอายุมากกว่า 65 ปี และแน่นอนไม่เป็นเบาหวาน ทั้งนี้ ไม่เคยได้เข้าร่วมในการศึกษาที่มีการใช้วิตามินดี และ น้ำมันปลาโอเมก้า สาม
ในการติดตาม จนกระทั่งจบสามปี พบว่าเกิด ภาวะสมองเสื่อมขึ้นจริง ที่ตรวจพบได้ ในระดับนิดหน่อย mild cognitive impairment 110 ราย และสมองเสื่อม 14 ราย และการเกิดสมองเสื่อมดังกล่าวนั้นไม่ได้แตกต่างกันในกลุ่มที่ใช้วิตามินรวมหรือโกโก้สกัด
แต่เมื่อเปรียบเทียบคะแนนในการทดสอบ ต้นทุนทางสมองหรือพุทธิปัญญา โดยรวม นั้น พบว่ากลุ่มที่ได้วิตามินรวมดูจะมีภาษีดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้วิตามินรวม รวมทั้งหน้าที่ในการทำงาน (executive function)
และความถดถอย ในหน้าที่การทำงานของสมองในกลุ่มวิตามินรวม เมื่อเทียบกับ ปีก่อนหน้า ดูจะน้อยกว่าในกลุ่มที่ไม่ได้วิตามินรวม
ผลสรุปของการศึกษานี้ แสดงว่า การได้รับวิตามินรวม และโกโก้สกัด ไม่ได้ ลดความเสี่ยง ของการแสดงอาการสมองเสื่อมในช่วงระยะการติดตามสามปี แต่ดูเหมือนว่าจะยังช่วยพยุง สมองให้ยังทำหน้าที่ได้สดใสอยู่บ้าง เปรียบได้กับ resilience ที่ได้เรียนให้ทราบไว้ในตอนต้น
โรคสมองเสื่อมนั้น ไม่ว่าจะเป็น อัลไซเมอร์ หรือชื่อยี่ห้ออื่น ต่างก็เป็นโปรตีนพิษ บิดเกลียว และทำให้การทำงานเชื่อมโยง ของสมองส่วนต่างๆ ผิดปกติ เซลล์สมองทำงานแปรปรวน จนกระทั่งตาย ทั้งนี้โดยที่เซลล์ที่มีหน้าที่เก็บทำลายขยะ กลับสร้างการอักเสบที่มากเกินควรทำให้สมองเสียหายไปอีก
อย่างไรก็ดี แม้ว่าโรคเกิดขึ้นแล้วก็ตาม โดยการตรวจคอมพิวเตอร์สมองร่วมกับเวชศาสตร์นิวเคลียร์ MRI/PET scan หรือ การตรวจโปรตีนที่ผิดปกติ จากการเจาะน้ำไขสันหลัง จนกระทั่งการตรวจในปัจจุบันซึ่งสามารถตรวจได้จากเลือด
แม้ว่าจะพบว่ามีโรคปะทุขึ้นแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อาการของโรคเหล่านี้ จะโผล่มาให้เห็นเสมอไป ยังดูเหมือนเป็นคนปกติได้
ซึ่งเราเรียกกันว่า resilience โดยที่ หมอเองชอบยกตัวอย่างว่า เวลา ผู้หญิงหรือผู้ชายก็แล้วแต่ ไปทำ
โบทอกซ์ ฟิลเล่อร์ ลบริ้วรอยทำให้หน้าตึงเต่ง เป็นการทำให้สวยและในที่สุด สภาพหน้าตาแท้จริงก็จะค่อยๆปรากฎ
โดยที่แตกต่างกับ การที่มี resistance นั่นก็คือ เกิดมามีชะตาชีวิตสุ่มเสี่ยงให้เกิด อัลไซเมอร์ โดยมียีนส์ ร้าย แถม ยังมีปัจจัยส่งเสริม ให้เกิดการอักเสบเกิดการดื้ออินซูลินในร่างกาย ทั้งอ้วนลงพุงเบาหวาน ความดัน ไขมัน แต่สมองกลับยังดี คนรอบข้างดูไม่รู้
เมื่ิอตายไป ตรวจเนื้อสมองกลับไม่พบว่ามีพยาธิสภาพของโรคสมองเสื่อม ซึ่งแนวป้องกันลักษณะเช่นนี้ เป็นที่ปรารถนาของมนุษย์โลกเพื่อว่า เผื่อว่า จะได้ปล่อยตัวปล่อยใจ กินอร่อย กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ออกกำลังกาย
แต่อนิจจา มาตรการระบบป้องกันที่ว่า ยังไม่ เป็นที่ทราบแน่นอนว่าคืออะไรทั้งนี้ อาจมีระบบละลายการอักเสบในร่างกายที่ทรงประสิทธิภาพสูงส่ง pro-resolving mediators และระบบโปรตีนบางชนิด และจะเกี่ยวเนื่องกับ”ความสุข” แค่ไหนหรือไม่ อย่างไร ยังไม่มีการพิสูจน์ชัด แม้ว่าจะมีรายงานประปรายว่า คนทั้งอ้วน ทั้งกินเหล้า นั่งเฉื่อยแฉะ แต่ห้อมล้อมด้วย เพื่อนฝูงที่จริงใจ รู้ใจ เวลาตายกลับพบว่า เส้นเลือดโปร่งโล่ง สมองไม่พบว่ามีพยาธิสภาพสมองเสื่อม
ถึงตรงนี้ อย่าพึ่งเอาไปเป็นบรรทัดฐานในการใช้ชีวิตนะครับ ถือว่าเป็นส่วนเติมเต็มของชีวิตโดยที่ต้องปฏิบัติตัวดีทางอาหารสุขภาพ การออกกำลังกาย และต้องมีความสุขในการดำเนินชีวิต ซึ่งย้ำเน้นมาตลอด นั่นก็คือการเอื้อเฟื้อช่วยชีวิต
กลับมาที่เรื่องที่ตื่นเต้นกันมาระยะหนึ่งแล้วคือ ที่มีรายงานว่าการใช้วิตามินรวมพ่วงกับโกโก้สกัด ทำให้สมองดี โดยเป็นการศึกษาชื่อ COSMOS-MIND หรือ COcoa Supplement and Multivitamin Outcomes Study for the Mind
การศึกษานี้ในระยะแรกเป็นการติดตามสามปี และพบว่า การทำงานหน้าที่ของสมอง ความจดจ่อ การรับรู้ความจำ การตัดสินใจ ในการทำงานดีขึ้น โดยที่เป็นผลจากวิตามินรวมมากกว่าที่จะได้จากโกโก้สกัด
สูตรวิตามินรวมที่ใช้ในการศึกษานี้ ได้แก่ ยี่ห้อต่างๆที่ใช้ทั่วไป เช่น Centrum silver. Pfizer consumer health care. now Haleon
และสารสกัดโกโก้ cocoa extract (Mars Edge) ประกอบไปด้วยโกโก้ Flavonols 500 มิลลิกรัมต่อวันซึ่งมี (-)-epicatechin. 80 มิลลิกรัมและ theobromine ประมาณ 50 มิลลิกรัม
ประชากรที่อยู่ในการศึกษาต่อมานี้ มีจำนวน 2,262 รายด้วยกัน ทั้งนี้ มาจากกลุ่มการศึกษาแรก ที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่เป้าประสงค์ของการศึกษานี้อยู่ที่ว่า จะสามารถ ชะลอหรือป้องกันไม่ให้สมองเสื่อมโผล่มาให้เห็นได้หรือไม่ เมื่อติดตามไปจนจบสามปี
โดยผู้ที่เข้าร่วมการศึกษานั้น จะต้องไม่มีประวัติของเส้นเลือดหัวใจตัน หรืออัมพฤกษ์ หัวใจวาย ได้รับการผ่าตัดหัวใจ หรือใส่ขดลวด ไม่มีประวัติของ มะเร็งไม่มีโรคทางสุขภาพร้าย
แรงอื่นๆและไม่เคยบริโภคโกโก้หรือวิตามินรวมมาก่อนและไม่แพ้โกโก้หรือกาแฟโดยที่มีอายุมากกว่า 65 ปี และแน่นอนไม่เป็นเบาหวาน ทั้งนี้ ไม่เคยได้เข้าร่วมในการศึกษาที่มีการใช้วิตามินดี และ น้ำมันปลาโอเมก้า สาม
ในการติดตาม จนกระทั่งจบสามปี พบว่าเกิด ภาวะสมองเสื่อมขึ้นจริง ที่ตรวจพบได้ ในระดับนิดหน่อย mild cognitive impairment 110 ราย และสมองเสื่อม 14 ราย และการเกิดสมองเสื่อมดังกล่าวนั้นไม่ได้แตกต่างกันในกลุ่มที่ใช้วิตามินรวมหรือโกโก้สกัด
แต่เมื่อเปรียบเทียบคะแนนในการทดสอบ ต้นทุนทางสมองหรือพุทธิปัญญา โดยรวม นั้น พบว่ากลุ่มที่ได้วิตามินรวมดูจะมีภาษีดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้วิตามินรวม รวมทั้งหน้าที่ในการทำงาน (executive function)
และความถดถอย ในหน้าที่การทำงานของสมองในกลุ่มวิตามินรวม เมื่อเทียบกับ ปีก่อนหน้า ดูจะน้อยกว่าในกลุ่มที่ไม่ได้วิตามินรวม
ผลสรุปของการศึกษานี้ แสดงว่า การได้รับวิตามินรวม และโกโก้สกัด ไม่ได้ ลดความเสี่ยง ของการแสดงอาการสมองเสื่อมในช่วงระยะการติดตามสามปี แต่ดูเหมือนว่าจะยังช่วยพยุง สมองให้ยังทำหน้าที่ได้สดใสอยู่บ้าง เปรียบได้กับ resilience ที่ได้เรียนให้ทราบไว้ในตอนต้น
และน่าจะเป็นตัวแทน ของยาสมองเสื่อมที่ใช้กันดาษดื่นในปัจจุบันโดยที่เป็นการกระตุ้นสมองอย่างเดียวให้ทำงานมากและอาจจะมีผลกระทบทำให้เซลล์สมองหมดแรงเร็วขึ้นและอายุสั้น
สำหรับคนไทยเราอาจไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องเสริมด้วยวิตามินยี่ห้อต่างๆที่มีในการศึกษานี้
ทั้งนี้ การบริโภคอาหารสุขภาพที่เราท่องขึ้นใจกันแล้วว่า คือ ผัก ผลไม้ กากใย วันละครึ่งกิโล ไก่ได้บ้าง เนื้อไม่เอา ปลาได้ ถั่วได้ แป้งได้แต่น้อย และออกกำลัง เท่านี้ ก็จะได้สิ่งต่างๆครบถ้วน และเป็นที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถชะลอความเสี่ยงของการแสดงอาการของสมองเสื่อมได้ รวมทั้งมีการพิสูจน์กลไกในการต้านกระบวนการของสมองเสื่อมได้เช่นกัน โดยอาจจะเป็นไปได้ว่า อาหารตามธรรมชาตินั้นมีส่วนประกอบหลากหลายมากกว่าที่จะเป็นจากการสกัดตัวใดตัวหนึ่งและมีการออกฤทธิ์ประสานงานกันทั้งโขลง และง่ายกว่าไม่ใช่หรือครับแถมไม่ต้องเสียสตางค์เพิ่มขึ้นอีกด้วย
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
และ
ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
มหาวิทยาลัยรังสิต
https://www.facebook.com/share/p/1AXxLBe13Z/
สำหรับคนไทยเราอาจไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องเสริมด้วยวิตามินยี่ห้อต่างๆที่มีในการศึกษานี้
ทั้งนี้ การบริโภคอาหารสุขภาพที่เราท่องขึ้นใจกันแล้วว่า คือ ผัก ผลไม้ กากใย วันละครึ่งกิโล ไก่ได้บ้าง เนื้อไม่เอา ปลาได้ ถั่วได้ แป้งได้แต่น้อย และออกกำลัง เท่านี้ ก็จะได้สิ่งต่างๆครบถ้วน และเป็นที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถชะลอความเสี่ยงของการแสดงอาการของสมองเสื่อมได้ รวมทั้งมีการพิสูจน์กลไกในการต้านกระบวนการของสมองเสื่อมได้เช่นกัน โดยอาจจะเป็นไปได้ว่า อาหารตามธรรมชาตินั้นมีส่วนประกอบหลากหลายมากกว่าที่จะเป็นจากการสกัดตัวใดตัวหนึ่งและมีการออกฤทธิ์ประสานงานกันทั้งโขลง และง่ายกว่าไม่ใช่หรือครับแถมไม่ต้องเสียสตางค์เพิ่มขึ้นอีกด้วย
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
และ
ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
มหาวิทยาลัยรังสิต
https://www.facebook.com/share/p/1AXxLBe13Z/
✍️อัลไซเมอร์ อารมณ์เหวี่ยงวุ่นวายและยาควบคุม (ตอนที่ 1)
ความยากลำบากที่ ครอบครัวและคนรอบข้างของผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ ต้องประสบก็คือสภาวะอารมณ์ที่ไม่ปกติที่เกิดขึ้นจากความเสื่อมของสมองและไม่ได้กระทบแต่เรื่องของความจำอย่างเดียว
ในเวลาที่ผ่านมา ยาที่ให้เพื่อควบคุมอาการนั้น ได้ผลค่อนข้างจำกัด ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อได้รับยาคุมอาการทางจิตก็จะไปมีผลกดการทำงานของสมอง ทำให้สมองถดถอยไปอีก และเมื่อใช้ไปบ่อยครั้งที่จะทำให้เกิดผลข้างเคียงลักษณะตัวแข็งเคลื่อนไหวช้าจนกระทั่งต้องคนช่วยประคับประคองอยู่ตลอดโดยเป็นลักษณะคล้าย โรคพาร์กินสัน ที่เกิดเกิดจากยา
ยาที่ขึ้นทะเบียน อย ของสหรัฐในการควบคุมอาการนี้คือ Brexpiprazole ซึ่งเป็น ยา สงบจิต atypical antipsychotic ออกฤทธิ์เป็น partial agonist ที่ตัวรับชนิด serotonin 5-HT1A และ dopamine D2 และเป็น antagonist ที่ตัวรับชนิด serotonin 5-HT2A เช่นเดียวกับ aripiprazole โดย brexpiprazole มีฤทธิ์ที่ตัวรับชนิด 5-HT1A แรงกว่า aripiprazole แต่มีฤทธิ์ที่ตัวรับชนิด D2 ต่ำกว่า (https://jamanetwork.com/.../jamane.../fullarticle/2811629...
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/39344050/) ซึ่งแม้ว่าจะพยายามพัฒนาให้ดีขึ้นแต่ก็ยังประสบกับผลข้างเคียงได้เช่นกัน
ในระยะที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2022 มียาAXS-05 (Auveility) เป็นยาผสมประกอบด้วย เดกซ์โทรเมทอร์แฟน-บูโพรพิออน ในขนาด 45/105 มก โดย ที่ตัวแรกออกฤทธิ์ ต้าน N-methyl-D-aspartate (NMDA) receptor antagonist และเป็น sigma-1 receptor agonist และ aminoketone CYP2D6 inhibitorและ bupropion เป็นยาต้านซึมเศร้าในกลุ่ม NDRIs (norepinephrine และ dopamine reuptake inhibitors) และ มีคุณสมบัติเป็น CYP2D6 inhibitor ด้วย ดังนั้น จะช่วยทำให้ ยาตัวแรก อยู่ในร่างกายและออกฤทธิ์ได้นานขึ้นโดยที่ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นยารักษาโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรง
และในปี 2025 นี้เอง มีการรายงานขยายขอบเขตการใช้ครอบคลุมถึงอาการกระวนกระวายวุ่นวาย ในโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องระมัดระวังและพิจารณาในกรณีที่ผู้ป่วยมีลักษณะของโรคไบโพลาร์ ซึ่งอาจจะทำให้โรคเลวลง และต้องระวังยาที่ใช้ร่วมอยู่ด้วย ที่เป็นยาต้านอาการซึมเศร้าแทบทุกชนิด และยาบรรเทาอาการ พาร์กินสัน ซึ่งถ้าไปใช้ร่วมกันจะทำให้มีสารซีโรโทนินเพิ่มปริมาณขึ้นจนเกิดอันตรายต่อสมอง กล้ามเนื้อ และหัวใจอย่างรุนแรงได้ รวมทั้งมีข้อควรระวังอื่นๆ
https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2863073
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
และ
ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
มหาวิทยาลัยรังสิต
https://www.facebook.com/share/p/1ApQKkcwUN/
ความยากลำบากที่ ครอบครัวและคนรอบข้างของผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ ต้องประสบก็คือสภาวะอารมณ์ที่ไม่ปกติที่เกิดขึ้นจากความเสื่อมของสมองและไม่ได้กระทบแต่เรื่องของความจำอย่างเดียว
ในเวลาที่ผ่านมา ยาที่ให้เพื่อควบคุมอาการนั้น ได้ผลค่อนข้างจำกัด ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อได้รับยาคุมอาการทางจิตก็จะไปมีผลกดการทำงานของสมอง ทำให้สมองถดถอยไปอีก และเมื่อใช้ไปบ่อยครั้งที่จะทำให้เกิดผลข้างเคียงลักษณะตัวแข็งเคลื่อนไหวช้าจนกระทั่งต้องคนช่วยประคับประคองอยู่ตลอดโดยเป็นลักษณะคล้าย โรคพาร์กินสัน ที่เกิดเกิดจากยา
ยาที่ขึ้นทะเบียน อย ของสหรัฐในการควบคุมอาการนี้คือ Brexpiprazole ซึ่งเป็น ยา สงบจิต atypical antipsychotic ออกฤทธิ์เป็น partial agonist ที่ตัวรับชนิด serotonin 5-HT1A และ dopamine D2 และเป็น antagonist ที่ตัวรับชนิด serotonin 5-HT2A เช่นเดียวกับ aripiprazole โดย brexpiprazole มีฤทธิ์ที่ตัวรับชนิด 5-HT1A แรงกว่า aripiprazole แต่มีฤทธิ์ที่ตัวรับชนิด D2 ต่ำกว่า (https://jamanetwork.com/.../jamane.../fullarticle/2811629...
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/39344050/) ซึ่งแม้ว่าจะพยายามพัฒนาให้ดีขึ้นแต่ก็ยังประสบกับผลข้างเคียงได้เช่นกัน
ในระยะที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2022 มียาAXS-05 (Auveility) เป็นยาผสมประกอบด้วย เดกซ์โทรเมทอร์แฟน-บูโพรพิออน ในขนาด 45/105 มก โดย ที่ตัวแรกออกฤทธิ์ ต้าน N-methyl-D-aspartate (NMDA) receptor antagonist และเป็น sigma-1 receptor agonist และ aminoketone CYP2D6 inhibitorและ bupropion เป็นยาต้านซึมเศร้าในกลุ่ม NDRIs (norepinephrine และ dopamine reuptake inhibitors) และ มีคุณสมบัติเป็น CYP2D6 inhibitor ด้วย ดังนั้น จะช่วยทำให้ ยาตัวแรก อยู่ในร่างกายและออกฤทธิ์ได้นานขึ้นโดยที่ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นยารักษาโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรง
และในปี 2025 นี้เอง มีการรายงานขยายขอบเขตการใช้ครอบคลุมถึงอาการกระวนกระวายวุ่นวาย ในโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องระมัดระวังและพิจารณาในกรณีที่ผู้ป่วยมีลักษณะของโรคไบโพลาร์ ซึ่งอาจจะทำให้โรคเลวลง และต้องระวังยาที่ใช้ร่วมอยู่ด้วย ที่เป็นยาต้านอาการซึมเศร้าแทบทุกชนิด และยาบรรเทาอาการ พาร์กินสัน ซึ่งถ้าไปใช้ร่วมกันจะทำให้มีสารซีโรโทนินเพิ่มปริมาณขึ้นจนเกิดอันตรายต่อสมอง กล้ามเนื้อ และหัวใจอย่างรุนแรงได้ รวมทั้งมีข้อควรระวังอื่นๆ
https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2863073
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
และ
ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
มหาวิทยาลัยรังสิต
https://www.facebook.com/share/p/1ApQKkcwUN/
✍️งีบนาน งีบบ่อยกลางวันทำไมเกี่ยวกับ..เสี่ยงสมองเสื่อม
การงีบตอนบ่ายถือเป็นประเพณีหรือวัฒนธรรมด้วยซ้ำ ในหลายประเทศทั้งแถบ เมดิเตอร์เรเนียน เช่น สเปน รวมกระทั่งไม่นานมานี้ ลามถึง ฝั่งยุโรปและสหรัฐอย่างที่เรียกว่า Siestas นัยว่า เป็นการเพิ่มพูนประสิทธิภาพของการทำงาน
และคนที่ทำงานไม่เป็นเวลาอยู่เวรกะกลางคืน ดึก ยาวไปถึงเช้า ซึ่งรวม อาชีพยาม หมอ พยาบาล ต่างก็จำเป็นต้องเปลี่ยนเวลานอน เป็นตอนกลางวันแทน
ซึ่งในอาชีพหมอยังต้องทำงานต่อยืดยาวไปเป็น 48 ถึง 72 ชั่วโมง ดังนั้นใช้หลับนก หรืองีบหลับเป็นพัก ๆ แทน
• การนอนดีเป็นเรื่องสำคัญมาก
คำว่าดีไม่ใช่เพียงแค่ระยะเวลาของการนอนแต่หมายรวมถึง คุณภาพที่มีการหลับที่ต้องมีหลับลึก
และมีการระบายของเสียออกจากสมอง หลังจากที่มีการใช้สมองมาตลอดโดยผ่านทางระบบท่อคล้ายน้ำเหลือง (glymhatic system)
ความแปรปรวนในการหลับและวงจรการหลับ-ตื่น ส่อให้เห็นถึงความผิดปกติของการทำงานของสมอง ที่เห็นได้ชัดเจนและบ่อยคือ
• ใน โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นโรคสมองเสื่อม ชนิดที่พบบ่อยที่สุดอย่างน้อย 70 ถึง 80% ของสมองเสื่อมทั้งหมด
• ความแปรปรวนที่เกิดขึ้น จะพบได้ตั้งแต่แรกเริ่มของโรค โดยที่มี ตื่นบ่อยเวลากลางคืน ระยะของการหลับลึกที่ปล่อยให้สมอง มีการพักผ่อน โดยคลื่นสมองมีจังหวะช้าลง จะลดน้อยถอยลง
• แม้ดูเหมือนว่าระยะเวลาของการหลับทั้งคืนนั้น จะยังไม่กระทบมาก แต่จะผนวกเข้าไปกับ การนอนกลางวันมากขึ้น
มิหนำซ้ำ ในตอนกลางวันจะง่วงเหงาหาวนอนมาก และงัวเงียไม่ค่อยยอมตื่น
แต่ทั้งนี้ต้องระวังว่าไม่มีการนอนที่อากาศเข้าไม่ได้ซึ่งพิสูจน์ได้จากการตรวจวัดขณะนอน (obstructive sleep apnea)
• สัญญาณเตือน คือในช่วงเวลาโพล้เพล้ ตอนเย็นพลบค่ำ จะเกิดอารมณ์ หงุดหงิด พฤติกรรมแปรปรวน จนถึง วุ่นวายอธิบายไม่ได้
• ที่ฝรั่งเรียกกันว่า sundowning และเหล่านี้อาจจะเกิดนำมาก่อนหน้า ที่จะเริ่มมีการเสื่อมถอยของการทำงานของสมองที่เห็นได้ช้ดด้วยซ้ำ
กลไกของการควบคุมการตื่นและหลับนั้น เหมือนกับ การ เปิด-ปิด สวิตซ์ โดยมี
• กลุ่มเซลล์สมองที่กระตุ้นให้ตื่นหรือเปิดสวิตซ์ WPN (wake-promoting neurons) อาทิ Noradrenergic locus coeruleus (LC) และ Orexin/hyprocretin-producing neuron ที่อยู่ในบริเวณ Lateral hypothalamus area และอีกกลุ่มคือ Histaminergic neurons ใน tuberomamillary nucleus (TMN)
ขณะที่สวิตซ์เปิด กลุ่มเซลล์ประสาทหลับ SPN (sleep-promoting neurons) จะถูกยับยั้ง ทั้งสองกลุ่มนี้อยู่ในบริเวณที่ลึกลงไปในเนื้อสมอง
โปรตีนพิษ อัลไซเมอร์ “เบต้าเอมีลอยด์” ซึ่งในตอนระยะแรกจะสะสมในบริเวณที่ผิวหรือเปลือกสมอง แต่มีอีกตัวคือ ”โปรตีน ทาว” ที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้เซลล์สมองตายและทำให้โรครุนแรง ทั้งนี้โปรตีนทาว จะสะสมและปรากฏในบริเวณสมองส่วนลึกและที่ก้านสมองก่อนที่จะแพร่กระจายขึ้นไปถึงส่วนอื่น
มีความเป็นไปได้ว่า โปรตีนพิษตัวหลังนี้ น่าจะเป็นตัวการสำคัญ ที่อธิบายปรากฏการณ์ผันผวนของการนอน
แต่เนื่องจากการตรวจหาโปรตีนทาว ในตำแหน่งของสมองในปัจจุบันใช้ เทคนิคเชิงเวชศาสตร์นิวเคลียร์ PET scan ซึ่งยังไม่แม่นยำพอที่จะระบุตำแหน่งของโปรตีนพิษ ในกลุ่มเซลล์สมองที่อยู่ลึกรวมทั้งที่อยู่ในก้านสมอง
และด้วยเหตุนี้เองเป็นที่มา ที่คณะผู้ศึกษาจากหลายสถาบันในสหรัฐ บราซิลและเยอรมัน (รายงานในวารสาร Alzheimer’s Dement ปี 2019) โดยทำการศึกษาสมองของผู้ป่วยที่เสียชีวิตและเป็นโรคสมองเสื่อมทั้ง อัลไซเมอร์ CBD (Cortical basal degeneration) และ PSP(Progressive supranuclear palsy) และเจาะจง
ดูการกระจายตัวของโปรตีนทาวในที่ต่างๆ ในเครือข่ายเซลล์ที่กระตุ้นให้ตื่น และพร้อมกันนั้น ดูรูปร่างของเซลล์และจำนวนที่แสดงถึงความผิดปกติไปพร้อมกัน ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงพิษ ของโปรตีนทาว
• ผลปรากฏว่า ในอัลไซเมอร์ พบทั้งการสะสมโปรตีนพิษ ทาว ในกลุ่มเซลล์ประสาททั้งสามกลุ่ม (LC, LHA, TMN) และมีการเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทไปพร้อมกัน
• แต่ในสมองเสื่อม CBD และ PSP แม้จะมีการสะสมของทาว แต่จำนวนเซลล์ประสาทยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนแปลงน้อยมาก
ทั้งนี้ เมื่อประมวลลักษณะอาการทางคลินิก จะพบความผิดปกติของการหลับ ในรูปแบบที่ต่างกันโดยที่
• อัลไซเมอร์ ระยะเวลาของการนอนยังค่อนข้างปกติ แต่มีการตื่นบ่อยเป็นระยะ (sleep fragmentation) พ่วงไปกับการงีบหลับบ่อยตอนกลางวันและปลุกให้ตื่นยาก แถมยังมีสับสนตอนโพล้เพล้
• ใน PSP ระยะเวลาของการนอนจะสั้นลง และหลับยาก และช่วงเวลาของการหลับแบบมีและไม่มีการกลอกลูกตาเร็ว (REM และ NREM) จะสั้นลงพร้อมกับที่คลื่นไฟฟ้าแกมมา จะมีมากขึ้นทั้ง ในขณะตื่นและหลับ (hyperarousal)
• ใน CBD ความแปรปรวนของการหลับตื่นจะไม่ชัดเจนเท่ากับในอัลไซเมอร์ และ PSP
ผลของการศึกษานี้คือ ให้ฉากทัศน์ ที่ต่างกับที่เคยเชื่อว่า ในอัลไซเมอร์ การที่ปลุกตื่นยากเมื่องีบหลับตอนกลางวัน เป็น
การงีบตอนบ่ายถือเป็นประเพณีหรือวัฒนธรรมด้วยซ้ำ ในหลายประเทศทั้งแถบ เมดิเตอร์เรเนียน เช่น สเปน รวมกระทั่งไม่นานมานี้ ลามถึง ฝั่งยุโรปและสหรัฐอย่างที่เรียกว่า Siestas นัยว่า เป็นการเพิ่มพูนประสิทธิภาพของการทำงาน
และคนที่ทำงานไม่เป็นเวลาอยู่เวรกะกลางคืน ดึก ยาวไปถึงเช้า ซึ่งรวม อาชีพยาม หมอ พยาบาล ต่างก็จำเป็นต้องเปลี่ยนเวลานอน เป็นตอนกลางวันแทน
ซึ่งในอาชีพหมอยังต้องทำงานต่อยืดยาวไปเป็น 48 ถึง 72 ชั่วโมง ดังนั้นใช้หลับนก หรืองีบหลับเป็นพัก ๆ แทน
• การนอนดีเป็นเรื่องสำคัญมาก
คำว่าดีไม่ใช่เพียงแค่ระยะเวลาของการนอนแต่หมายรวมถึง คุณภาพที่มีการหลับที่ต้องมีหลับลึก
และมีการระบายของเสียออกจากสมอง หลังจากที่มีการใช้สมองมาตลอดโดยผ่านทางระบบท่อคล้ายน้ำเหลือง (glymhatic system)
ความแปรปรวนในการหลับและวงจรการหลับ-ตื่น ส่อให้เห็นถึงความผิดปกติของการทำงานของสมอง ที่เห็นได้ชัดเจนและบ่อยคือ
• ใน โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นโรคสมองเสื่อม ชนิดที่พบบ่อยที่สุดอย่างน้อย 70 ถึง 80% ของสมองเสื่อมทั้งหมด
• ความแปรปรวนที่เกิดขึ้น จะพบได้ตั้งแต่แรกเริ่มของโรค โดยที่มี ตื่นบ่อยเวลากลางคืน ระยะของการหลับลึกที่ปล่อยให้สมอง มีการพักผ่อน โดยคลื่นสมองมีจังหวะช้าลง จะลดน้อยถอยลง
• แม้ดูเหมือนว่าระยะเวลาของการหลับทั้งคืนนั้น จะยังไม่กระทบมาก แต่จะผนวกเข้าไปกับ การนอนกลางวันมากขึ้น
มิหนำซ้ำ ในตอนกลางวันจะง่วงเหงาหาวนอนมาก และงัวเงียไม่ค่อยยอมตื่น
แต่ทั้งนี้ต้องระวังว่าไม่มีการนอนที่อากาศเข้าไม่ได้ซึ่งพิสูจน์ได้จากการตรวจวัดขณะนอน (obstructive sleep apnea)
• สัญญาณเตือน คือในช่วงเวลาโพล้เพล้ ตอนเย็นพลบค่ำ จะเกิดอารมณ์ หงุดหงิด พฤติกรรมแปรปรวน จนถึง วุ่นวายอธิบายไม่ได้
• ที่ฝรั่งเรียกกันว่า sundowning และเหล่านี้อาจจะเกิดนำมาก่อนหน้า ที่จะเริ่มมีการเสื่อมถอยของการทำงานของสมองที่เห็นได้ช้ดด้วยซ้ำ
กลไกของการควบคุมการตื่นและหลับนั้น เหมือนกับ การ เปิด-ปิด สวิตซ์ โดยมี
• กลุ่มเซลล์สมองที่กระตุ้นให้ตื่นหรือเปิดสวิตซ์ WPN (wake-promoting neurons) อาทิ Noradrenergic locus coeruleus (LC) และ Orexin/hyprocretin-producing neuron ที่อยู่ในบริเวณ Lateral hypothalamus area และอีกกลุ่มคือ Histaminergic neurons ใน tuberomamillary nucleus (TMN)
ขณะที่สวิตซ์เปิด กลุ่มเซลล์ประสาทหลับ SPN (sleep-promoting neurons) จะถูกยับยั้ง ทั้งสองกลุ่มนี้อยู่ในบริเวณที่ลึกลงไปในเนื้อสมอง
โปรตีนพิษ อัลไซเมอร์ “เบต้าเอมีลอยด์” ซึ่งในตอนระยะแรกจะสะสมในบริเวณที่ผิวหรือเปลือกสมอง แต่มีอีกตัวคือ ”โปรตีน ทาว” ที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้เซลล์สมองตายและทำให้โรครุนแรง ทั้งนี้โปรตีนทาว จะสะสมและปรากฏในบริเวณสมองส่วนลึกและที่ก้านสมองก่อนที่จะแพร่กระจายขึ้นไปถึงส่วนอื่น
มีความเป็นไปได้ว่า โปรตีนพิษตัวหลังนี้ น่าจะเป็นตัวการสำคัญ ที่อธิบายปรากฏการณ์ผันผวนของการนอน
แต่เนื่องจากการตรวจหาโปรตีนทาว ในตำแหน่งของสมองในปัจจุบันใช้ เทคนิคเชิงเวชศาสตร์นิวเคลียร์ PET scan ซึ่งยังไม่แม่นยำพอที่จะระบุตำแหน่งของโปรตีนพิษ ในกลุ่มเซลล์สมองที่อยู่ลึกรวมทั้งที่อยู่ในก้านสมอง
และด้วยเหตุนี้เองเป็นที่มา ที่คณะผู้ศึกษาจากหลายสถาบันในสหรัฐ บราซิลและเยอรมัน (รายงานในวารสาร Alzheimer’s Dement ปี 2019) โดยทำการศึกษาสมองของผู้ป่วยที่เสียชีวิตและเป็นโรคสมองเสื่อมทั้ง อัลไซเมอร์ CBD (Cortical basal degeneration) และ PSP(Progressive supranuclear palsy) และเจาะจง
ดูการกระจายตัวของโปรตีนทาวในที่ต่างๆ ในเครือข่ายเซลล์ที่กระตุ้นให้ตื่น และพร้อมกันนั้น ดูรูปร่างของเซลล์และจำนวนที่แสดงถึงความผิดปกติไปพร้อมกัน ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงพิษ ของโปรตีนทาว
• ผลปรากฏว่า ในอัลไซเมอร์ พบทั้งการสะสมโปรตีนพิษ ทาว ในกลุ่มเซลล์ประสาททั้งสามกลุ่ม (LC, LHA, TMN) และมีการเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทไปพร้อมกัน
• แต่ในสมองเสื่อม CBD และ PSP แม้จะมีการสะสมของทาว แต่จำนวนเซลล์ประสาทยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนแปลงน้อยมาก
ทั้งนี้ เมื่อประมวลลักษณะอาการทางคลินิก จะพบความผิดปกติของการหลับ ในรูปแบบที่ต่างกันโดยที่
• อัลไซเมอร์ ระยะเวลาของการนอนยังค่อนข้างปกติ แต่มีการตื่นบ่อยเป็นระยะ (sleep fragmentation) พ่วงไปกับการงีบหลับบ่อยตอนกลางวันและปลุกให้ตื่นยาก แถมยังมีสับสนตอนโพล้เพล้
• ใน PSP ระยะเวลาของการนอนจะสั้นลง และหลับยาก และช่วงเวลาของการหลับแบบมีและไม่มีการกลอกลูกตาเร็ว (REM และ NREM) จะสั้นลงพร้อมกับที่คลื่นไฟฟ้าแกมมา จะมีมากขึ้นทั้ง ในขณะตื่นและหลับ (hyperarousal)
• ใน CBD ความแปรปรวนของการหลับตื่นจะไม่ชัดเจนเท่ากับในอัลไซเมอร์ และ PSP
ผลของการศึกษานี้คือ ให้ฉากทัศน์ ที่ต่างกับที่เคยเชื่อว่า ในอัลไซเมอร์ การที่ปลุกตื่นยากเมื่องีบหลับตอนกลางวัน เป็น
กระบวนการชดเชยจากที่ไม่ได้นอนหรือนอนไม่มีคุณภาพ แต่เป็นไปได้ว่ากลุ่มเซลล์สมองเครือข่ายที่กระตุ้นให้ตื่นผิดปกติไปมากกว่า และ เดรือข่ายนี้ เปราะบางและเสียหายได้ง่ายจากโปรตีนทาว
ของอัลไซเมอร์ (AD-Tau)
ในขณะที่ โปรตีนทาว ชอง CBD และPSP แม้ว่าจะพบในกลุ่มเซลล์ประสาทเครือข่ายนี้ เช่นกัน แต่ประหนึ่งว่าไม่เป็นพิษอันตรายเท่าไหร่
ทั้งนี้ PSP และ CBD จัดเป็นกลุ่มที่เป็น สมองเสื่อมกำเนิดตรงจากโปรตีนทาว (primary tauopathy) แบบ 4R (four repeat)
โปรตีนพิษ ทาว ใน อัลไซเมอร์ ถือว่าเป็นกระบวนการตาม (Secondary)
งีบหลับกลางวัน (daytime napping) และพฤติกรรมการนอน การวิเคราะห์ ยีนส์ รหัสพันธุกรรม
กลุ่มจาก Massachusetts General Hospital และ University Murcia ที่ สเปน และอีกหลายสถาบัน รายงานในวารสาร Nature communications ต้นปี 2021
ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้ค้นพบมาก่อนหน้านี้ ถึงยีนที่สัมพันธ์กับ ระยะเวลาของการนอน รูปแบบการนอนผิดปกติ และแนวโน้มที่จะตื่นแต่มืด หรือเป็นแบบมนุษย์นกฮูก คือนอนเกือบเช้า ตื่นเอาบ่ายหรือเย็น
โดยทำการวิเคราะห์ ศึกษาหาความสัมพันธ์เชื่อมโยงของทั้งจีโนม ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมหรือนิสัยการนอน GWAS genome-wide association study ทั้งนี้ โดยอาศัยข้อมูลของรหัสพันธุกรรมมนุษย์ที่เก็บในคลัง UK biobank เป็นจำนวน 452,633 คน และจำแนกออกเป็นกลุ่มที่ไม่เคยงีบหลับ หรือ งีบน้อยมากตอนกลางวัน งีบบ้างบางเวลา หรืองีบเป็นประจำ
GWAS ได้ระบุ 123 regions ในจีโนมมนุษย์ ที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับการงีบหลับระหว่างวัน และเพื่อให้ข้อมูลมีความละเอียดชัดเจนขึ้น
• กลุ่มอาสาสมัครจำนวนหนึ่งยังติดเครื่องมอนิเตอร์ accelerometer ที่สะท้อนพฤติกรรมที่ทำในเวลากลางวันรวมถึงการงีบหลับ
ข้อมูลของจีโนมของคณะนี้ที่พบ ยังพ้องไปกับข้อมูลการวิเคราะห์ในจำนวน 541,333 รายที่รวบรวมจาก 23andME (บริษัทรับตรวจยีนส์)
• ผลการศึกษาได้ข้อสังเกตว่า พฤติกรรม การงีบกลางวัน เป็นลักษณะของบุคคลหรือเป็นการทดแทนการนอนไม่ดีตอนกลางคืนหรือการที่ต้องตื่นเช้าเกินไป ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ เผินๆแล้ว ดูไม่น่าสนใจแต่เมื่อนำมาผนวกกับดัชนีสุขภาพทางด้านหัวใจและเมตตาบอลิค (cardiometabolic) พบว่าเริ่มมีความเกี่ยวพันกันกับ อ้วนลงพุง ความดันโลหิตสูง เป็นต้น และจีโนมในบางตำแหน่งที่สัมพันธ์กับการงีบหลับกลางวันมีความเชื่อมโยงกับ orexin
ทั้งหลายทั้งปวงที่ปูพื้นมา แสดงให้เห็นว่าการนอนและการหลับตื่นที่แปรปรวนผิดปกตินั้นแท้จริงแล้วเป็นปรากฏการณ์ร่วมในโรคสมองเสื่อม ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละชนิด แต่ชัดเจนในสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ และเป็นความผิดปกติของกลุ่มเซลล์ประสาทที่กระตุ้นให้ตื่น โดยโปรตีนพิษ ทาว เป็นตัวก่อเหตุ
• นอกจากนั้น รหัสพันธุกรรมที่ได้จากการศึกษาจีโนมมนุษย์ยังมีส่วนกำหนดพฤติกรรมของการนอนน้อย นอนนาน ชอบงีบหลับกลางวัน และเกี่ยวโยงไปถึงสุขภาพของร่างกายที่เกี่ยวกับหัวใจและเส้นเลือด ตรงกับที่เราทราบมานานพอสมควรแล้วว่าสุขภาพร่างกาย หัวใจหลอดเลือดความดัน ไขมัน น้ำหนัก จะสัมพันธ์โดยตรงกับการสะสมของโปรตีนพิษใน สมองอัลไซเมอร์โดยผ่านกระบวนการอักเสบ เป็นต้น
ขมวดถึงการศึกษาในต้นปี 2022 นี้เอง ในวารสาร Alzheimer’s Dement จากคณะทำงานในสหรัฐหลายสถาบัน UC San Francisco และ Harvard Medical School โดยวางสมมุติฐานต่อเนื่องจากความรู้ที่ผ่านมา
• โดยผลการศึกษา สามารถสรุปได้ว่า การงีบหลับกลางวันจะมากและบ่อยขึ้น แปรตามโรคและพยาธิสภาพของอัลไซเมอร์ และที่น่าประหลาดใจ (แกมตกใจ) ก็คือ ข้อมูลที่เป็นไปได้ว่า
• การงีบหลับกลางวันบ่อย นาน จะเร่งโรค อัลไซเมอร์ ทั้งนี้ แม้ว่าจะได้ปรับผลกระทบที่เกิดจากการที่นอนตอนกลางคืนไม่ดี หรือ ไม่มีคุณภาพแล้ว โดยสามารถสรุปได้ว่าการนอนกลางวันส่งผลสุ่มเสี่ยงให้เกิดโรคมากขึ้น
โครงการนี้ เริ่มในปี 2005 โดยมีอาสาสมัครทั้งหมด 1401 คนเป็นผู้หญิง 1065 คนเกณฑ์อายุเฉลี่ยที่ 81.4 ปีและมีการติดตามทุกปี โดยมีการประเมินสมรรถภาพสมอง หรือ ต้นทุนสมองด้วยการตรวจทางพุทธิปัญญา โรคร่วมที่มี เป็นต้น การศึกษาจบลงเมื่อสิ้นสุดเดือนเมษายน 2020
การสรุปความแปรปรวนความผิดปกติทางสมองโดยใช้แบบมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป ตั้งแต่ระดับ ก้ำกึ่ง (MCI mild cognitive impairment) หรือน้อย (mild) และระดับปานกลาง (moderate)จนถึง รุนแรง (severe) ตามลำดับ
สุขภาพและพฤติกรรมของการนอน วิเคราะห์ ในตอนกลางคืน ความผันแปรที่เกิดขึ้น ทั้งระยะเวลาทั้งหมดของการนอน จำนวนที่การนอนขาดช่วงเป็นระยะ และการตื่นหลังจากที่เริ่มมีการนอน ความผันผวนในระหว่างวันเดียวกัน และต่างวันกัน
เมื่อเริ่มต้นโครงการ 75.7% ของอาสาสมัครไม่มีความผิดปกติทางสมองเสื่อม และ 19.5% อยู่ในระดับก้ำกึ่ง(MCI) และ 4.1 % เป็นสมองเสื่อม
ของอัลไซเมอร์ (AD-Tau)
ในขณะที่ โปรตีนทาว ชอง CBD และPSP แม้ว่าจะพบในกลุ่มเซลล์ประสาทเครือข่ายนี้ เช่นกัน แต่ประหนึ่งว่าไม่เป็นพิษอันตรายเท่าไหร่
ทั้งนี้ PSP และ CBD จัดเป็นกลุ่มที่เป็น สมองเสื่อมกำเนิดตรงจากโปรตีนทาว (primary tauopathy) แบบ 4R (four repeat)
โปรตีนพิษ ทาว ใน อัลไซเมอร์ ถือว่าเป็นกระบวนการตาม (Secondary)
งีบหลับกลางวัน (daytime napping) และพฤติกรรมการนอน การวิเคราะห์ ยีนส์ รหัสพันธุกรรม
กลุ่มจาก Massachusetts General Hospital และ University Murcia ที่ สเปน และอีกหลายสถาบัน รายงานในวารสาร Nature communications ต้นปี 2021
ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้ค้นพบมาก่อนหน้านี้ ถึงยีนที่สัมพันธ์กับ ระยะเวลาของการนอน รูปแบบการนอนผิดปกติ และแนวโน้มที่จะตื่นแต่มืด หรือเป็นแบบมนุษย์นกฮูก คือนอนเกือบเช้า ตื่นเอาบ่ายหรือเย็น
โดยทำการวิเคราะห์ ศึกษาหาความสัมพันธ์เชื่อมโยงของทั้งจีโนม ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมหรือนิสัยการนอน GWAS genome-wide association study ทั้งนี้ โดยอาศัยข้อมูลของรหัสพันธุกรรมมนุษย์ที่เก็บในคลัง UK biobank เป็นจำนวน 452,633 คน และจำแนกออกเป็นกลุ่มที่ไม่เคยงีบหลับ หรือ งีบน้อยมากตอนกลางวัน งีบบ้างบางเวลา หรืองีบเป็นประจำ
GWAS ได้ระบุ 123 regions ในจีโนมมนุษย์ ที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับการงีบหลับระหว่างวัน และเพื่อให้ข้อมูลมีความละเอียดชัดเจนขึ้น
• กลุ่มอาสาสมัครจำนวนหนึ่งยังติดเครื่องมอนิเตอร์ accelerometer ที่สะท้อนพฤติกรรมที่ทำในเวลากลางวันรวมถึงการงีบหลับ
ข้อมูลของจีโนมของคณะนี้ที่พบ ยังพ้องไปกับข้อมูลการวิเคราะห์ในจำนวน 541,333 รายที่รวบรวมจาก 23andME (บริษัทรับตรวจยีนส์)
• ผลการศึกษาได้ข้อสังเกตว่า พฤติกรรม การงีบกลางวัน เป็นลักษณะของบุคคลหรือเป็นการทดแทนการนอนไม่ดีตอนกลางคืนหรือการที่ต้องตื่นเช้าเกินไป ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ เผินๆแล้ว ดูไม่น่าสนใจแต่เมื่อนำมาผนวกกับดัชนีสุขภาพทางด้านหัวใจและเมตตาบอลิค (cardiometabolic) พบว่าเริ่มมีความเกี่ยวพันกันกับ อ้วนลงพุง ความดันโลหิตสูง เป็นต้น และจีโนมในบางตำแหน่งที่สัมพันธ์กับการงีบหลับกลางวันมีความเชื่อมโยงกับ orexin
ทั้งหลายทั้งปวงที่ปูพื้นมา แสดงให้เห็นว่าการนอนและการหลับตื่นที่แปรปรวนผิดปกตินั้นแท้จริงแล้วเป็นปรากฏการณ์ร่วมในโรคสมองเสื่อม ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละชนิด แต่ชัดเจนในสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ และเป็นความผิดปกติของกลุ่มเซลล์ประสาทที่กระตุ้นให้ตื่น โดยโปรตีนพิษ ทาว เป็นตัวก่อเหตุ
• นอกจากนั้น รหัสพันธุกรรมที่ได้จากการศึกษาจีโนมมนุษย์ยังมีส่วนกำหนดพฤติกรรมของการนอนน้อย นอนนาน ชอบงีบหลับกลางวัน และเกี่ยวโยงไปถึงสุขภาพของร่างกายที่เกี่ยวกับหัวใจและเส้นเลือด ตรงกับที่เราทราบมานานพอสมควรแล้วว่าสุขภาพร่างกาย หัวใจหลอดเลือดความดัน ไขมัน น้ำหนัก จะสัมพันธ์โดยตรงกับการสะสมของโปรตีนพิษใน สมองอัลไซเมอร์โดยผ่านกระบวนการอักเสบ เป็นต้น
ขมวดถึงการศึกษาในต้นปี 2022 นี้เอง ในวารสาร Alzheimer’s Dement จากคณะทำงานในสหรัฐหลายสถาบัน UC San Francisco และ Harvard Medical School โดยวางสมมุติฐานต่อเนื่องจากความรู้ที่ผ่านมา
• โดยผลการศึกษา สามารถสรุปได้ว่า การงีบหลับกลางวันจะมากและบ่อยขึ้น แปรตามโรคและพยาธิสภาพของอัลไซเมอร์ และที่น่าประหลาดใจ (แกมตกใจ) ก็คือ ข้อมูลที่เป็นไปได้ว่า
• การงีบหลับกลางวันบ่อย นาน จะเร่งโรค อัลไซเมอร์ ทั้งนี้ แม้ว่าจะได้ปรับผลกระทบที่เกิดจากการที่นอนตอนกลางคืนไม่ดี หรือ ไม่มีคุณภาพแล้ว โดยสามารถสรุปได้ว่าการนอนกลางวันส่งผลสุ่มเสี่ยงให้เกิดโรคมากขึ้น
โครงการนี้ เริ่มในปี 2005 โดยมีอาสาสมัครทั้งหมด 1401 คนเป็นผู้หญิง 1065 คนเกณฑ์อายุเฉลี่ยที่ 81.4 ปีและมีการติดตามทุกปี โดยมีการประเมินสมรรถภาพสมอง หรือ ต้นทุนสมองด้วยการตรวจทางพุทธิปัญญา โรคร่วมที่มี เป็นต้น การศึกษาจบลงเมื่อสิ้นสุดเดือนเมษายน 2020
การสรุปความแปรปรวนความผิดปกติทางสมองโดยใช้แบบมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป ตั้งแต่ระดับ ก้ำกึ่ง (MCI mild cognitive impairment) หรือน้อย (mild) และระดับปานกลาง (moderate)จนถึง รุนแรง (severe) ตามลำดับ
สุขภาพและพฤติกรรมของการนอน วิเคราะห์ ในตอนกลางคืน ความผันแปรที่เกิดขึ้น ทั้งระยะเวลาทั้งหมดของการนอน จำนวนที่การนอนขาดช่วงเป็นระยะ และการตื่นหลังจากที่เริ่มมีการนอน ความผันผวนในระหว่างวันเดียวกัน และต่างวันกัน
เมื่อเริ่มต้นโครงการ 75.7% ของอาสาสมัครไม่มีความผิดปกติทางสมองเสื่อม และ 19.5% อยู่ในระดับก้ำกึ่ง(MCI) และ 4.1 % เป็นสมองเสื่อม
ในคนที่ปกติตั้งแต่เริ่มต้น การงีบหลับกลางวัน จะเพิ่มขึ้นจากโดยเฉลี่ย 11 นาที แต่แล้ว เมื่อพบว่าพัฒนาเป็นระดับ MCI การงีบหลับจะเพิ่มขึ้นสองเท่ากลายเป็น 24 นาที ต่อวัน และนานมากขึ้นเป็น 69 นาทีต่อวัน เมื่อถึงระดับสมองเสื่อมแล้ว
ในขณะเดียวกันได้ทำการวิเคราะห์อาสาสมัคร 24% ที่ปกติในตอนเริ่มต้น แต่พัฒนาเป็น อัลไซเมอร์ ในหกปีต่อมา พบว่า
• คนที่งีบหลับมากกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นโรคสมองเสื่อมถึง 40% เมื่อเทียบกับคนที่งีบน้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน
• และคนที่งีบมากกว่าหนึ่งครั้งต่อวันจะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนที่งีบ น้อยกว่า หนึ่งครั้งถึง 40%
ผลการศึกษานี้ ยืนยันการศึกษาในปี 2019 ที่พบว่า
• ผู้ชายสูงอายุที่งีบหลับกลางวัน 2 ชั่วโมงจะสุ่มเสี่ยงที่จะมีสติปัญญาเสื่อมถอยมากกว่าคนที่งีบน้อยกว่า 30 นาทีต่อวัน
ผลที่ได้จากการศึกษานี้ เป็น bidirectional คือส่งผลได้ทั้งสองทิศทาง สมองเสื่อมมากงีบหลับมาก และงีบหลับกลางวันมากเร่งให้สมองเสื่อมมาก
แต่กระนั้นยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีกลไกอะไร ที่การงีบนอนหลับกลางวัน บ่อยไป นานไป มากไปกลับเร่งสมองเสื่อม
จากนั้นนำ ไปถึง การตั้งคำถามต่อว่า ในประเทศที่มีประเพณีการงีบหลับ กลางวันตอนบ่าย จะเกิดผลกระทบมากน้อยเท่าใด จะต้องมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่ ซึ่งในประเทศสเปนเริ่มมีการพิเคราะห์เรื่องนี้แล้ว
และขณะเดียวกัน การงีบกลางวันเพื่อที่จะชดเชยการนอนกลางคืนที่ไม่พอหรือที่คุณภาพไม่ดี ควรจะนอนเป็นเวลานานเท่าใด ที่จะเหมาะสม และแน่นอน ต้องมีการเชื่อมโยงกับระบบสุขภาพของร่างกายด้าน คาร์ดิโอเมตตาบอลิค(cardiometabolic) ทั้งนี้ จะมีการควบรวมกับยีน หรือจีโนมของแต่ละคนหรือไม่ว่า นอนอย่างไรนานเท่าไร นอนกลางวันหรือกลางคืน ที่สมองจะยังดีอยู่ หรือไม่เสื่อม
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
และ
ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
มหาวิทยาลัยรังสิต
https://www.facebook.com/share/p/163a3HxwSG/
ในขณะเดียวกันได้ทำการวิเคราะห์อาสาสมัคร 24% ที่ปกติในตอนเริ่มต้น แต่พัฒนาเป็น อัลไซเมอร์ ในหกปีต่อมา พบว่า
• คนที่งีบหลับมากกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นโรคสมองเสื่อมถึง 40% เมื่อเทียบกับคนที่งีบน้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน
• และคนที่งีบมากกว่าหนึ่งครั้งต่อวันจะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนที่งีบ น้อยกว่า หนึ่งครั้งถึง 40%
ผลการศึกษานี้ ยืนยันการศึกษาในปี 2019 ที่พบว่า
• ผู้ชายสูงอายุที่งีบหลับกลางวัน 2 ชั่วโมงจะสุ่มเสี่ยงที่จะมีสติปัญญาเสื่อมถอยมากกว่าคนที่งีบน้อยกว่า 30 นาทีต่อวัน
ผลที่ได้จากการศึกษานี้ เป็น bidirectional คือส่งผลได้ทั้งสองทิศทาง สมองเสื่อมมากงีบหลับมาก และงีบหลับกลางวันมากเร่งให้สมองเสื่อมมาก
แต่กระนั้นยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีกลไกอะไร ที่การงีบนอนหลับกลางวัน บ่อยไป นานไป มากไปกลับเร่งสมองเสื่อม
จากนั้นนำ ไปถึง การตั้งคำถามต่อว่า ในประเทศที่มีประเพณีการงีบหลับ กลางวันตอนบ่าย จะเกิดผลกระทบมากน้อยเท่าใด จะต้องมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่ ซึ่งในประเทศสเปนเริ่มมีการพิเคราะห์เรื่องนี้แล้ว
และขณะเดียวกัน การงีบกลางวันเพื่อที่จะชดเชยการนอนกลางคืนที่ไม่พอหรือที่คุณภาพไม่ดี ควรจะนอนเป็นเวลานานเท่าใด ที่จะเหมาะสม และแน่นอน ต้องมีการเชื่อมโยงกับระบบสุขภาพของร่างกายด้าน คาร์ดิโอเมตตาบอลิค(cardiometabolic) ทั้งนี้ จะมีการควบรวมกับยีน หรือจีโนมของแต่ละคนหรือไม่ว่า นอนอย่างไรนานเท่าไร นอนกลางวันหรือกลางคืน ที่สมองจะยังดีอยู่ หรือไม่เสื่อม
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
และ
ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
มหาวิทยาลัยรังสิต
https://www.facebook.com/share/p/163a3HxwSG/
✍️วันที่ 21/5/2025
รัฐสภาสหรัฐแถลงเจ้าหน้าที่รัฐละเลยในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายของวัคซีน ในเรื่องที่เกี่ยวกับหัวใจอักเสบและ
เรื่องอื่นๆ และมีการแสดงรายงานผู้เสียชีวิตจากวัคซีนด้วยการชันสูตรละเอียด
และ หลังจากนั้นมีการเปิดเผยรายชื่อเจ้าหน้าที่รัฐ FDA NIH และองค์กรอื่นๆที่กระทำการดังกล่าว
Failure to Warn:
How Federal Health Agencies Downplayed the Risk of Myocarditis and Other Adverse Events Following COVID-19 Vaccination
รวมทั้งให้ประชาชน อเมริกัน แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตและการพิการเนื่องจากวัคซีน โดยภายในเวลาที่ให้แจ้งซึ่งจำกัด ในช่วงสั่นๆ มีผู้ให้ข้อมูลมากกว่า 90,000 ราย
วัคซีนโควิดและผลกระทบ
14/4/2025
https://youtu.be/ys_ykPbyMks?si=sOZ4BZpb1Zhg-MTz
วัคซีนโควิดและผลกระทบ
21/4/2025
https://youtu.be/vfNhMVNZWNg?si=yS65NMKehklN7szQ
Health Nexus รายการของมหาวิทยาลัยรังสิต
https://www.facebook.com/share/p/12KDvWVRgwY/
รัฐสภาสหรัฐแถลงเจ้าหน้าที่รัฐละเลยในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายของวัคซีน ในเรื่องที่เกี่ยวกับหัวใจอักเสบและ
เรื่องอื่นๆ และมีการแสดงรายงานผู้เสียชีวิตจากวัคซีนด้วยการชันสูตรละเอียด
และ หลังจากนั้นมีการเปิดเผยรายชื่อเจ้าหน้าที่รัฐ FDA NIH และองค์กรอื่นๆที่กระทำการดังกล่าว
Failure to Warn:
How Federal Health Agencies Downplayed the Risk of Myocarditis and Other Adverse Events Following COVID-19 Vaccination
รวมทั้งให้ประชาชน อเมริกัน แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตและการพิการเนื่องจากวัคซีน โดยภายในเวลาที่ให้แจ้งซึ่งจำกัด ในช่วงสั่นๆ มีผู้ให้ข้อมูลมากกว่า 90,000 ราย
วัคซีนโควิดและผลกระทบ
14/4/2025
https://youtu.be/ys_ykPbyMks?si=sOZ4BZpb1Zhg-MTz
วัคซีนโควิดและผลกระทบ
21/4/2025
https://youtu.be/vfNhMVNZWNg?si=yS65NMKehklN7szQ
Health Nexus รายการของมหาวิทยาลัยรังสิต
https://www.facebook.com/share/p/12KDvWVRgwY/
“หมอธีระวัฒน์” ถาม รมว.สธ.ตัดฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด แต่ใส่ฟาวิฯ ที่เชื้อดื้อยาเข้าไปทำไม ?
เผยแพร่: 22 ก.ค. 2567 14:57 ปรับปรุง: 22 ก.ค. 2567 14:57 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
_________________________________
“หมอธีระวัฒน์” ถามดังๆ รมว.สธ. ถอดฟ้าทะลายโจร จากแนวเวชปฏิบัตืรักษาโควิด-19 ทำไม ทั้งที่ผลการใช้รักษาอาการต่างๆ ได้จริง แต่ฟาวิพิราเวียร์ ที่ทำให้ไวรัสดื้อยา กลับยังคงอยู่ อ้างแค่ปรับเอกสารฟังไม่ขึ้น เพราะตั้งแต่ มิ.ย. เป็นต้นมา ถ้าใช้ฟ้าทะลายโจร จะเบิกจากโรงพยาบาลไม่ได้
วันนี้ (22 ก.ค.) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” ว่าฟ้าทะลายโจร ยาประจำบ้าน รมว.สาธารณสุขถอดฟ้าทะลายโจร ออกจากการรักษาโควิด ในคู่มือเวชปฏิบัติ เดือนมิถุนายน 2567 และใส่ยาฟาวิพิราเวีย ซึ่งไวรัสดื้อจนหมดสิ้นแล้ว และไม่อยู่ในตำรับการใช้ก่อนหน้ามานานแล้ว และทำให้ ขณะนี้ สถานพยาบาลใช้ฟาวิพิราเวียแทน จ่ายให้ผู้ป่วย
การยื่นบันทึกร้องถาม เหตุผล และข้อมูลของกรรมการโควิด กรมการแพทย์ และ อย. ต่อรัฐมนตรีสาธารณสุขนั้น กระทำโดยผ่าน สำนักกฏหมายอรุณอมรินทร์ ทั้งนี้มีความประสงค์ ที่จะให้ถอดเทปคำตอบคำ ใครเป็นผู้เสนอข้อมูลให้ถอด หลักฐานข้อมูลคืออะไร และการตัดสินของคณะกรรมการ ขึ้นอยู่กับอะไร และทำไม ฟาวิพิราเวีย ถึงปรากฏตัวอยู่ในเวชปฏิบัติ ฉบับล่าสุดนี้
ฟ้าทะลายโจรราคาถูก ปลูกได้ในประเทศไทย ฟาวิพิราเวียร์ ต้องสั่งสั่งวัตถุดิบจากต่างประเทศ และให้องค์การเภสัชทำเม็ด เราต้องการความโปร่งใส
ฟ้าทะลายโจร ใช้ได้ในอาการไข้หวัด ไม่ว่าจะเล็ก กลาง ใหญ่ ใช้ตั้งแต่เริ่มต้นมีอาการ ใช้สองวันหายก็เลิกกิน ถ้าดีขึ้นแต่ไม่หายสนิท ก็กินต่อให้ครบห้าวัน ตับอักเสบไม่เกิด ยกเว้นมีโรคตับอยู่แล้ว เลยไปโทษยา หรือกินยา พารา เยอะเลยตับอักเสบ หรือ การติดเชื้อไวรัสนั้น ทำให้เกิดตับอักเสบ
“ฟ้าทะลายโจร” ถูกด้อยค่า ออกจากแนวเวชปฏิบัติรักษาโควิด แต่บรรจุให้ใช้ “ฟาวิพิราเวียร์” แทน ทั้งที่เลิกไปแล้ว เพราะไวรัส ดื้อต่อ ฟาวิ ตั้งแต่หลังจากที่มีการโหมให้คนติดเชื้อทุกคน มีหรือไม่มีอาการก็ตาม กินตอนปี 2564
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000059816
การรายงานโดยศาสตราจารย์แพทย์ พญ.สยมพร ศิรินาวิน และคณะ ในคนที่ติดเชื้อโควิด ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีวัคซีน ในช่วงปลาย 2020 ถึง มี.ค. 2021 พบว่าไม่มีปอดบวม ในคนที่ได้รับฟ้าทะลายโจร และ ปอดบวม 10.7% ในคนที่ไม่ได้ยา
และไม่พบการอักเสบ จากการดูระดับ CRP ในคนที่ได้รับยา (0% ต่อ 17.9%) ถึงแม้จะมีคนติดเชื้อในการศึกษาไม่มาก แต่เป็นการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด
https://www.fortunejournals.com/.../efficacy-and-safety...
และถัดมา เป็นการศึกษาโดยคณะเดียวกัน ในเจ็ดโรงพยาบาล ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น พบ ปอดบวมในหนึ่งราย จากทั้งหมด 243 ราย ในกลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายโจร และ 69 รายจากทั้งหมด 285 ราย ในกลุ่มที่ไม่ได้รับ
ไวรัสยังคงเป็นอู่ฮั่นในระลอกสอง ซึ่งมีการยกตัวระบาดรุนแรง
การศึกษาเป็น prospective design และประเมิน retrospective
http://www.fortunejournals.com/.../effect-of-andrographis...
ในระยะต่อมา เมื่อเริ่มมีการระบาดสายพันธุ์อัลฟ่า จาก รพ อุดร 344 ราย เดือนเมษายน 2564 ถึงเดือนสิงหาคม 2564 หลังผู้ป่วยได้รับยา สารสกัดหยาบฟ้าทะลายโจร มีความรุนแรงของโรค ในเรื่องการไอเจ็บคอ ไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ถ่ายเหลว หายใจเหนื่อยลดลง การรับรส และการได้กลิ่นดีขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
https://he02.tci-thaijo.org/.../udhhosmj/article/view/265091
หมายเหตุ
การดูปริมาณไวรัส จากการแยงจมูก ไม่สามารถบ่งบอกความรุนแรงของโรคได้ และการที่ไวรัสหายไปเร็วจากจมูกนั้น ไม่ได้บอกว่ายานั้นดีกว่า หรือไม่ดีกว่า
เราต้องไม่ลืมว่า แม้แต่ยาปัจจุบันราคาแพง โมนูพิราเวีย ไวรัสหายไประยะแรก แล้วก็กลับโผล่ขึ้นมาใหม่ได้ 10-20% จากการแยงจมูกปาก สำคัญที่ตัวคนป่วย การดูที่อาการ ไม่ว่าจะเป็นอาการในปอด หรืออาการในระบบร่างกาย ว่าดีขึ้นเร็วหรือไม่ ต่างหาก
รัฐมนตรีสาธารณสุข ถอดฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด และใส่ฟาวิพิราเวียร์ ที่ไวรัสดื้อ ไปหมดจดแล้วทำไม ?
ศ. นพ.ธีระวัฒน์ ยังโพสต์ข้อความอีกว่า เรื่องประหลาด รัฐมนตรีสาธารณสุข ประกาศเรื่องถอดฟ้าทะลายโจรออก เป็นเรื่องการปรับเอกสาร ทั้งที่เวชปฏิบัติการรักษาโควิด เดือนมิถุนายน 2567 ชัดเจนไม่มีฟ้าทะลายโจร แต่กลับมีฟาวิพิราเวีย ที่ไวรัสดื้อยาไปหมดแล้ว มาบรรจุแทน
ดังนั้นใครที่เป็นโควิด ตั้งแต่มิถุนายนจนปัจจุบัน ค่าอาการน้อย อาจไม่ได้อะไรเลย ถ้าอาการเริ่มมี ก็จะได้ฟาวิพิราเวียร์ คนป่วยยืนยัน ซึ่งหมอได้ให้ข้อมูลไปแล้ว เรื่องการดื้อยา และให้ใช้ฟ้าทะลายโจรแทน แต่เบิกไม่ได้จากโรงพยาบาล
https://mgronline.com/qol/detail/9670000062126
เผยแพร่: 22 ก.ค. 2567 14:57 ปรับปรุง: 22 ก.ค. 2567 14:57 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
_________________________________
“หมอธีระวัฒน์” ถามดังๆ รมว.สธ. ถอดฟ้าทะลายโจร จากแนวเวชปฏิบัตืรักษาโควิด-19 ทำไม ทั้งที่ผลการใช้รักษาอาการต่างๆ ได้จริง แต่ฟาวิพิราเวียร์ ที่ทำให้ไวรัสดื้อยา กลับยังคงอยู่ อ้างแค่ปรับเอกสารฟังไม่ขึ้น เพราะตั้งแต่ มิ.ย. เป็นต้นมา ถ้าใช้ฟ้าทะลายโจร จะเบิกจากโรงพยาบาลไม่ได้
วันนี้ (22 ก.ค.) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” ว่าฟ้าทะลายโจร ยาประจำบ้าน รมว.สาธารณสุขถอดฟ้าทะลายโจร ออกจากการรักษาโควิด ในคู่มือเวชปฏิบัติ เดือนมิถุนายน 2567 และใส่ยาฟาวิพิราเวีย ซึ่งไวรัสดื้อจนหมดสิ้นแล้ว และไม่อยู่ในตำรับการใช้ก่อนหน้ามานานแล้ว และทำให้ ขณะนี้ สถานพยาบาลใช้ฟาวิพิราเวียแทน จ่ายให้ผู้ป่วย
การยื่นบันทึกร้องถาม เหตุผล และข้อมูลของกรรมการโควิด กรมการแพทย์ และ อย. ต่อรัฐมนตรีสาธารณสุขนั้น กระทำโดยผ่าน สำนักกฏหมายอรุณอมรินทร์ ทั้งนี้มีความประสงค์ ที่จะให้ถอดเทปคำตอบคำ ใครเป็นผู้เสนอข้อมูลให้ถอด หลักฐานข้อมูลคืออะไร และการตัดสินของคณะกรรมการ ขึ้นอยู่กับอะไร และทำไม ฟาวิพิราเวีย ถึงปรากฏตัวอยู่ในเวชปฏิบัติ ฉบับล่าสุดนี้
ฟ้าทะลายโจรราคาถูก ปลูกได้ในประเทศไทย ฟาวิพิราเวียร์ ต้องสั่งสั่งวัตถุดิบจากต่างประเทศ และให้องค์การเภสัชทำเม็ด เราต้องการความโปร่งใส
ฟ้าทะลายโจร ใช้ได้ในอาการไข้หวัด ไม่ว่าจะเล็ก กลาง ใหญ่ ใช้ตั้งแต่เริ่มต้นมีอาการ ใช้สองวันหายก็เลิกกิน ถ้าดีขึ้นแต่ไม่หายสนิท ก็กินต่อให้ครบห้าวัน ตับอักเสบไม่เกิด ยกเว้นมีโรคตับอยู่แล้ว เลยไปโทษยา หรือกินยา พารา เยอะเลยตับอักเสบ หรือ การติดเชื้อไวรัสนั้น ทำให้เกิดตับอักเสบ
“ฟ้าทะลายโจร” ถูกด้อยค่า ออกจากแนวเวชปฏิบัติรักษาโควิด แต่บรรจุให้ใช้ “ฟาวิพิราเวียร์” แทน ทั้งที่เลิกไปแล้ว เพราะไวรัส ดื้อต่อ ฟาวิ ตั้งแต่หลังจากที่มีการโหมให้คนติดเชื้อทุกคน มีหรือไม่มีอาการก็ตาม กินตอนปี 2564
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000059816
การรายงานโดยศาสตราจารย์แพทย์ พญ.สยมพร ศิรินาวิน และคณะ ในคนที่ติดเชื้อโควิด ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีวัคซีน ในช่วงปลาย 2020 ถึง มี.ค. 2021 พบว่าไม่มีปอดบวม ในคนที่ได้รับฟ้าทะลายโจร และ ปอดบวม 10.7% ในคนที่ไม่ได้ยา
และไม่พบการอักเสบ จากการดูระดับ CRP ในคนที่ได้รับยา (0% ต่อ 17.9%) ถึงแม้จะมีคนติดเชื้อในการศึกษาไม่มาก แต่เป็นการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด
https://www.fortunejournals.com/.../efficacy-and-safety...
และถัดมา เป็นการศึกษาโดยคณะเดียวกัน ในเจ็ดโรงพยาบาล ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น พบ ปอดบวมในหนึ่งราย จากทั้งหมด 243 ราย ในกลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายโจร และ 69 รายจากทั้งหมด 285 ราย ในกลุ่มที่ไม่ได้รับ
ไวรัสยังคงเป็นอู่ฮั่นในระลอกสอง ซึ่งมีการยกตัวระบาดรุนแรง
การศึกษาเป็น prospective design และประเมิน retrospective
http://www.fortunejournals.com/.../effect-of-andrographis...
ในระยะต่อมา เมื่อเริ่มมีการระบาดสายพันธุ์อัลฟ่า จาก รพ อุดร 344 ราย เดือนเมษายน 2564 ถึงเดือนสิงหาคม 2564 หลังผู้ป่วยได้รับยา สารสกัดหยาบฟ้าทะลายโจร มีความรุนแรงของโรค ในเรื่องการไอเจ็บคอ ไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ถ่ายเหลว หายใจเหนื่อยลดลง การรับรส และการได้กลิ่นดีขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
https://he02.tci-thaijo.org/.../udhhosmj/article/view/265091
หมายเหตุ
การดูปริมาณไวรัส จากการแยงจมูก ไม่สามารถบ่งบอกความรุนแรงของโรคได้ และการที่ไวรัสหายไปเร็วจากจมูกนั้น ไม่ได้บอกว่ายานั้นดีกว่า หรือไม่ดีกว่า
เราต้องไม่ลืมว่า แม้แต่ยาปัจจุบันราคาแพง โมนูพิราเวีย ไวรัสหายไประยะแรก แล้วก็กลับโผล่ขึ้นมาใหม่ได้ 10-20% จากการแยงจมูกปาก สำคัญที่ตัวคนป่วย การดูที่อาการ ไม่ว่าจะเป็นอาการในปอด หรืออาการในระบบร่างกาย ว่าดีขึ้นเร็วหรือไม่ ต่างหาก
รัฐมนตรีสาธารณสุข ถอดฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด และใส่ฟาวิพิราเวียร์ ที่ไวรัสดื้อ ไปหมดจดแล้วทำไม ?
ศ. นพ.ธีระวัฒน์ ยังโพสต์ข้อความอีกว่า เรื่องประหลาด รัฐมนตรีสาธารณสุข ประกาศเรื่องถอดฟ้าทะลายโจรออก เป็นเรื่องการปรับเอกสาร ทั้งที่เวชปฏิบัติการรักษาโควิด เดือนมิถุนายน 2567 ชัดเจนไม่มีฟ้าทะลายโจร แต่กลับมีฟาวิพิราเวีย ที่ไวรัสดื้อยาไปหมดแล้ว มาบรรจุแทน
ดังนั้นใครที่เป็นโควิด ตั้งแต่มิถุนายนจนปัจจุบัน ค่าอาการน้อย อาจไม่ได้อะไรเลย ถ้าอาการเริ่มมี ก็จะได้ฟาวิพิราเวียร์ คนป่วยยืนยัน ซึ่งหมอได้ให้ข้อมูลไปแล้ว เรื่องการดื้อยา และให้ใช้ฟ้าทะลายโจรแทน แต่เบิกไม่ได้จากโรงพยาบาล
https://mgronline.com/qol/detail/9670000062126
MGR Online
เบื้องลึกเตะตัดขา “ฟ้าทะลายโจร” อุ้ม “ฟาวิพิราเวียร์” ได้ไปต่อ ?
เบื้องหลังน่าเคลือบแคลง กรมการแพทย์ตัด “ฟ้าทะลายโจร” ออกจากแนวเวชปฏิบัติรักษาโควิด แต่ยังให้ใช้ “ฟาวิพิราเวียร์” ต่อ ทั้งที่ผลทดลองฟ้าทะลายโจรให้ผลดีกว่า และช่วยให้คนไทยจำนวนมากรอดตายในช่วงระบาดใหญ่มาแล้ว แถมต้นทุนถูกกว่า แค่ 180